เนื่องจากมีผู้ฆราวาสสอนให้รู้นิพพานได้จากการฝึกตามที่เขาบอกกล่าว และยังกล่าวอ้างพุทธพจน์ว่า นิพพานเป็นสมบัติของทุกคน หรือคำของเกจิอาจารย์ที่กล่าวว่าสามารถรู้นิพพานได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้ง แสดงถึงความเป็นจริงทั้งหมด เมื่อกล่าวถึงธรรมแล้ว ไม่พ้นไปจากนามธรรมและรูปธรรม สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรเลยไม่ใช่นามธรรมก็เป็นรูปธรรมทั้งหมด นามธรรมแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ นามธรรมที่รู้อารมณ์ ได้แก่จิตและเจตสิก และ นามธรรมที่ไม่รู้อารมณ์ ได้แก่พระนิพพาน พระอริยบุคคลขั้นต่างๆ เท่านั้นที่ประจักษ์แจ้งพระนิพพานได้
พระนิพพาน เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นปรมัตถธรรม เป็นนามธรรม ที่ไม่เกิดไม่ดับ เป็นสภาพธรรมที่ดับทุกข์ ดับกิเลส ปราศจากกิเลสโดยประการทั้งปวง ตรงกันข้ามกับสภาพธรรมที่เกิดดับอย่างสิ้นเชิง นี้คือ ความเป็นจริงของสภาพธรรมที่เป็นพระนิพพาน
ผู้ที่ประจักษ์พระนิพพาน ก็คือ พระอริยบุคคลขั้นต่างๆ เท่านั้น ดังนั้น ผู้รู้พระนิพพานต้องเป็นพระอริยบุคคล มีพระโสดาบันบุคคล เป็นต้น ปุถุชนไม่มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ และสำหรับพระอริยบุคคลที่ท่านได้ฌาน สามารถเข้าผลสมาบัติได้ ขณะที่จิตเป็นผลสมาบัติมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ สำหรับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงเข้าผลสมาบัติเป็นประจำ แม้ขณะที่ทรงแสดงธรรมอยู่ ผู้ฟังให้สาธุการ พระองค์ก็เข้าผลสมาบัติทันที
กิจที่ควรทำ คือ การฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงให้เข้าใจจริงๆ ซึ่งขาดความเข้าใจถูกเห็นถูกตั้งแต่ขั้นต้นไม่ได้เลย จึงควรอย่างยิ่งที่จะได้สะสมเหตุ คือ การฟังพระธรรมให้เข้าใจ ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย ใครจะพูดอย่างไรก็ตาม ผู้มีปัญญา สามารถพิจารณาได้ว่า คำ นั้น ผิด หรือ ถูก และประการที่สำคัญ ต้องย้อนกลับมาว่า แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ว่าอย่างไร ครับ
... ยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ