มีเพื่อนถามมาว่า มันมีจริงเหรอครับ กับคำที่ว่า "ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว" ก็เลยอยากจะถาม
ท่านผู้รู้หน่อยครับ ว่าพระพุทธองค์ท่านทรงตรัสเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไงครับ
ขอบพระคุณครับ
ปล.โดยส่วนตัวเชื่อนะครับ แต่อยากจะอธิบายให้เพื่อนเค้าเข้าใจอย่างเรา
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
มีคำอธิบายที่เป็นพระพุทธพจน์ว่าพระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 168
ยาทิส วปเต พีช ตาทิส ลภเต ผล
กลฺยาณการี กลฺยาณ ปาปการี จ ปาปก
คนหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นนั้น คน
ทำเหตุดี ย่อมได้ผลดี ส่วนคนทำเหตุชั่ว
ย่อมได้ผลชั่ว.
ซึ่งก็ตรงกับคำว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วครับ ซึ่งในอรรถกถา อธิบายไว้ว่า พืชสะเดาหรือ
พืชประเภทบวบขม ย่อมมีแต่รสขม ไม่ให้ผลเป็นรสหวาน ฉันใด กรรมชั่วที่ทำก็ย่อมให้
ผลในทางที่ไม่ดี ไม่ให้ผลในทางที่ดี... พืชอ้อย พืชสาลีย่อมให้รสหวาน ไม่ให้ผลเป็น
รสขม ฉันใด แม้กรรมดีที่ทำย่อมหใผลในทางที่ดี ไม่ให้ผลชั่วครับ ทำดีจึงได้ดี ทำชั่ว
จึงได้ชั่ว คือได้รับผลวิบากที่ดีหรือชั่วตามแต่ประเภทของกรรมที่ทำครับพระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 164
ว่าด้วยฐานะและอฐานะ
[๑๖๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่วิบากอันน่าปรารถนา น่าใคร่
น่าพอใจ แห่งกายทุจริต จะพึงเกิดขึ้นนั้น มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาสที่จะ
มีได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แต่ข้อที่วิบากอันไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่
ไม่น่าพอใจ แห่งกายทุจริต จะพึงเกิดขึ้นนั้น เป็นฐานะที่จะมีได้.
[๑๖๘ ] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่วิบากอันน่าปรารถนา น่าใคร่
น่าพอใจ แห่งวจีทุจริต จะพึงเกิดขึ้นนั้น มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาสที่จะ
มีได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แต่ข้อที่วิบากอันไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่
ไม่น่าพอใจ แห่งวจีทุจริต จะพึงเกิดขึ้นนั้น เป็นฐานะที่จะมีได้.
[๑๖๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่วิบากอันน่าปรารถนา น่าใคร่
น่าพอใจ แห่งมโนทุจริต จะพึงเกิดขึ้นนั้น มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาสที่
จะมีได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แต่ข้อที่วิบากอันไม่น่าปรารถนา ไม่น่า
ใคร่ ไม่น่าพอใจ แห่งมโนทุจริตจะพึงเกิดขึ้นนั้น เป็นฐานะที่จะมีได้.
ส่วนกรณีที่กล่าวว่าทำดีไม่เห็นได้ดี ทำชั่วกับได้ดี ..อธิบายดังนี้
กรรมที่ทำย่อมมีกาลเวลาที่จะให้ผลครับ กรรมบางอย่างให้ผลในปัจจุบัน ชาตินี้ กรรมบางอย่าง
ให้ผลในชาติหน้า กรรมบางอย่างให้ผลในชาติถัดๆ ไป ดั งนั้น กรรมดีหรือกรรมชั่วที่ทำก็ตาม
ต้องมีกาลเวลาที่จะให้ผล ทำดี ไม่จำเป็นจะต้องให้ผลทันที บุคคลนั้นจึงเห็นว่า ทำดีไม่เห็นได้ดี
เลย แต่กับประสบทุกข์ ซึ่งการประสบทุกข์เป็นผลมาจากกรรมชั่ว ไม่ใช่เพราะกรรมดีเป็นเหตุ
ครับ ส่วนคนที่ทำกรรมชั่ว กรรมชั่วอาจจะไม่ให้ผลตอนนั้น ในชาตินั้นก็ได้ แต่กรรมดีที่เขาเคย
ทำไว้ในอดีตส่งผล เขาก็ประสบสุข จึงสำคัญว่าทำชั่วกับได้ดีมีถมไป ดังนั้น จึงต้องมั่นคงใน
เรื่องของกรรมว่า ทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว (ความเห็นที่ 1) และกรรมย่อมมีกาลเวลาที่จะ
ให้ผลครับ ดังข้อความในพระไตรปิฎก พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ - หน้าที่ 2
๔. แม้คนผู้ทำบุญ ย่อมเห็นบาปว่าดี ตลอด
กาลที่บาปยังไม่เผล็ดผล แต่เมื่อใดบาปเผล็ดผล
เมื่อนั้นเขาย่อมเห็นบาปว่าชั่ว ฝ่ายคนทำกรรมดี ย่อม
เห็นกรรมดีว่าชั่ว ตลอดกาลที่กรรมดียังไม่เผล็ดผล
แต่เมื่อใดกรรมดีเผล็ดผล เมื่อนั้นเขาย่อมเห็นกรรม
ดีว่าดี.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๒ - หน้าที่ 215
"คนพาลย่อมสำคัญบาปประดุจน้ำผึ้ง ตราบเท่า
ที่บาปยังไม่ให้ผล; ก็เมื่อใด บาปให้ผล; เมื่อนั้น
คนพาล ย่อมประสพทุกข์. ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
การให้ผลของกรรมก็ขึ้นอยู่กับ กรรมสมาทาน 4 ประการด้วยนะคะ
1. คติ คือ ภพภูมิที่เกิด เช่น สวรรค์ อบายภูมิ
2. อุปธิ คือ ความสมบูรณ์ งดงามของร่างกาย หรือความพิการ
3. กาล คือ ยุคสมัย เช่น ยุคที่มีความร่มเย็นเป็นสุข ยุคที่ข้าวยากหมากแพง สงคราม
4. ปโยค คือ ความเชี่ยวชาญ ความสามารถในการประกอบกิจการงานต่างๆ
ซึ่งสามารถแจกแจงได้ดังนี้ค่ะ...
กรรมสมาทานชั่ว บางอย่าง ห้ามคติสมบัติ ยังไม่ให้ผล ๑
กรรมสมาทานชั่ว บางอย่าง ห้ามอุปธิสมบัติ ยังไม่ให้ผล ๑
กรรมสมาทานชั่ว บางอย่าง ห้ามกาลสมบัติ ยังไม่ให้ผล ๑
กรรมสมาทานชั่ว บางอย่าง ห้ามปโยคสมบัติ ยังไม่ให้ผล ๑
กรรมสมาทานชั่ว บางอย่าง อาศัยคติวิบัติ ให้ผล ๑
กรรมสมาทานชั่ว บางอย่าง อาศัยอุปธิวิบัติ ให้ผล ๑
กรรมสมาทานชั่ว บางอย่าง อาศัยกาลวิบัติ ให้ผล ๑
กรรมสมาทานชั่ว บางอย่าง อาศัยปโยควิบัติ ให้ผล ๑
กรรมสมาทานดี บางอย่าง ห้ามคติวิบัติ ยังไม่ให้ผล ๑
กรรมสมาทานดี บางอย่าง ห้ามอุปธิวิบัติ ยังไม่ให้ผล ๑
กรรมสมาทานดี บางอย่าง ห้ามกาลวิบัติ ยังไม่ให้ผล ๑
กรรมสมาทานดี บางอย่าง ห้ามปโยควิบัติ ยังไม่ให้ผล ๑
กรรมสมาทานดี บางอย่าง อาศัยคติสมบัติ ให้ผล ๑
กรรมสมาทานดี บางอย่าง อาศัยอุปธิสมบัติ ให้ผล ๑
กรรมสมาทานดี บางอย่าง อาศัยกาลสมบัติ ให้ผล ๑
กรรมสมาทานดี บางอย่าง อาศัยปโยคสมบัติ ให้ผล ๑
ขออนุญาตนำคำตอบของแต่ละท่านไปตอบให้เพื่อนฟังนะครับ
กราบขอบพระคุณทุกๆ ท่านอีกครั้งครับ
ตอนนี้เรากำลังรับผลของกรรมในชาติก่อนๆ อยู่ค่ะ
ก็อย่างที่ทราบ..
ถ้าเกรงกลัวต่ออกุศลกรรม ให้ทำกุศลกรรมนะค่ะ
ถ้ามั่นคงในเรื่องกรรมและผลของกรรม จะไม่ทำชั่วเลยค่ะ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ