ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๙๕
โดย khampan.a  15 ธ.ค. 2567
หัวข้อหมายเลข 49107

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น



ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๙๕




~ ควรที่จะเห็นความเป็นประโยชน์อย่างยิ่งของการที่จะได้เข้าใจพระธรรม แต่ขอให้เป็นผู้ที่ไม่ประมาทในการฟังพระธรรม เพราะว่าเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งจะต้องไตร่ตรอง ศึกษาครบถ้วนในความถูกต้อง มิฉะนั้น ก็คลาดเคลื่อน ถ้าเข้าใจผิดไปก็เป็นภัยอย่างยิ่ง
~ ผู้ที่เห็นคุณของพระธรรมแต่ละคำ เห็นคุณค่าสูงสุดว่าถ้าไม่มีการฟัง จะไม่มีปัญญา จะไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่มีจริงได้เลย จึงไม่ละเว้นที่จะฟัง เพื่อสะสมความเข้าใจจากการฟัง
~ ไม่มีสักขณะเดียวที่ไม่ใช่ธรรมหรือว่าพ้นจากธรรม กว่าจะถึงความเข้าใจธรรม ก็จะต้องเป็นผู้ที่อดทน เป็นผู้ที่ตรง เป็นผู้ที่มั่นคง ว่าถ้าไม่ได้ยินได้ฟังคำเหล่านี้ ไม่มีวันใดในสังสารวัฏฏ์ที่จะรู้ความจริงได้ว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรม
~ ธรรมเดี๋ยวนี้ คืออะไร ธรรมไม่ใช่อยู่ในหนังสือ ไม่ใช่อยู่ในตำรา แต่เดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็น เป็นธรรม เพราะมีจริงๆ เกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไป ขณะที่ได้ยิน ก็เป็นธรรม เพราะมีจริงๆ เกิดขึ้นให้รู้ว่ามีจริง
~
เรื่องของกิเลส มีมาก และกิเลสเกิดขึ้นทำกิจการงานของกิเลส กิเลสจะทำกิจการงานของกุศลไม่ได้ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าในสมัยไหนทั้งสิ้น กิเลสเกิดขึ้นขณะใด ก็ทำกิจของกิเลสขณะนั้น และสมมติเรียกชื่อของอกุศลธรรมและกุศลธรรมเป็นสัตว์ เป็นบุคคลต่างๆ แต่บางท่านก็มีวิริยะในการอบรมเจริญปัญญา เห็นโทษของกิเลสและละคลายกิเลสได้ แต่ก็ต้องอาศัยวิริยะอย่างมากจริงๆ ในการเป็นผู้อบรมเจริญปัญญารู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
~ ถึงแม้ว่าธรรมจะเป็นสิ่งที่มีจริง แต่ก็เป็นสภาพที่รู้ได้แสนยาก ถ้าไม่ได้อบรมเจริญปัญญาที่จะสามารถเข้าใจและรู้สภาพธรรมนั้น
~ ผู้ที่ศึกษาธรรมแล้วย่อมเข้าใจความหมายที่ว่าโลกมืดเพราะอวิชชา เพราะถ้าพระผู้มีพระภาคไม่ทรงตรัสรู้ไม่ทรงแสดงพระธรรมก็ไม่มีใครเข้าใจลักษณะของสภาพที่กำลังปรากฏว่าเป็นแต่เพียงธรรมแต่ละอย่าง ถึงแม้ว่าขณะนี้สภาพธรรมกำลังมีจริงๆ แต่อวิชชาก็ปิดกั้นไม่ให้เห็นว่าสภาพธรรมในขณะนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะ เหตุปัจจัยและดับไป ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน
~ ควรจะมีความอดทน แม้แต่การไม่พูดในเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์
มีเรื่องหลายเรื่อง ซึ่งก็น่าจะบอกเล่าให้คนอื่นทราบ แต่ควรพิจารณาก่อนว่า เรื่องนั้นเป็นประโยชน์ไหม ถ้าไม่เป็นประโยชน์ มีความอดทนอดกลั้น ที่จะไม่เล่าในขณะนั้นไหม เพราะเห็นแล้วว่า ไม่เป็นประโยชน์แก่ใครทั้งสิ้น
~ คุณต้องตายไหม ตายเมื่อไหร่ ตายเดี๋ยวนี้ได้ไหม เพราะฉะนั้นก่อนที่จะตายเข้าใจความจริงแค่ไหนหรือไม่เข้าใจเลย เพราะฉะนั้นเริ่มที่จะเข้าใจว่า ขณะที่มีค่าที่สุดในชีวิตในแสนโกฏกัปป์ คือ ขณะที่เข้าใจความจริง
~
ใครก็ตามที่มีความไม่รู้และไม่ได้ฟังพระธรรม ก็เป็นธรรมดาที่บุคคลนั้นจะต้องทำสิ่งที่ผิดๆ หรือทำสิ่งที่ไม่สมควร หรือทำสิ่งที่เสียหายแม้กับตัวท่าน แต่ถ้าท่านพิจารณาว่าเ พราะบุคคลนั้นไม่รู้จึงทำ
และเมื่อท่านเองศึกษาแล้ว พิจารณาธรรมเข้าใจแล้ว รู้แล้ว
ยังจะโกรธคนที่ไม่รู้ก็เป็นสิ่งที่ไม่สมควรเลย ถ้าเป็นในลักษณะนี้
ขณะนั้นท่านจะมีขันติบารมีที่ว่า ไม่ผูกโกรธและอภัยให้บุคคลนั้นด้วย
~
ควรพิจารณาความโกรธในชีวิตประจำวันของท่านว่าส่วนใหญ่เกิดจากอะไร ซึ่งโดยมากเกิดจากการเกี่ยวข้องกับบุคคลอื่น ถ้าบุคคลทั้งหลายทำดีก็จะไม่มีใครโกรธใคร แต่เพราะว่าทุกคนยังมีอกุศล ยังมีกิเลส เพราะฉะนั้น ก็เป็นเหตุทำให้เกิดความไม่พอใจ แต่สามารถพิจารณาได้ในบุคคลต่างๆ ว่า เป็นผู้ที่มีคุณหรือเป็นผู้ที่ ไม่มีคุณ ถ้าเป็นผู้ที่มีคุณกระทำก็อย่าโกรธเลย ผู้นั้นเป็นผู้ที่มีคุณต่อเรา ถ้าเป็นผู้ที่ไม่มีคุณก็ยิ่งน่าสงสาร ไม่มีคุณอะไรเลยและยังทำสิ่งที่ไม่ดีด้วย เพราะฉะนั้น ถ้ากุศลจิตเกิดพร้อมสติสัมปชัญญะ จะทำให้เพิ่มความอดทนขึ้น
~
พระผู้มีพระภาคทรงเกื้อกูลพุทธบริษัทด้วยการทรงแสดงธรรมที่เป็นอนุสาสนี คือ ซ้ำแล้วซ้ำอีก เพื่อให้พิจารณาเห็นประโยชน์ของธรรมที่เป็นกุศล คือ ผู้มีปัญญาเท่านั้นไม่ทำการแบ่งแยกคนที่รัก คนกลางและคนที่เป็นศัตรู คือ ไม่เลือกพวกพ้อง หรือเป็นฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด แต่เป็นผู้ฉลาดในการนำประโยชน์เข้าไปในที่ทั้งปวง นี่คือผู้ฉลาดจริงๆ เป็นผู้ที่อดทนเพื่อประโยชน์ เพราะถ้าไม่อดทนก็จะไม่เกิดประโยชน์ แต่จะเป็นโทษสำหรับตนเอง
~ วันหนึ่งๆ ทุกข์เพราะความคิดที่เป็นอกุศล แต่หิริโอตตัปปะเป็น ธรรมเครื่องคุ้มครองโลกที่จะทำให้ไม่เดือดร้อนทั้งกาย วาจา ใจ เพราะว่าหิริเป็นสภาพที่ละอายรังเกียจอกุศลธรรม และโอตตัปปะก็เป็นสภาพธรรมที่กลัวบาป กลัวอกุศลธรรม
~
แม้วันหนึ่งๆ ถ้ามีความเข้าใจธรรม ก็จะเห็นคุณของพระธรรม
ถ้ามีปัญญาแล้ว สิ่งที่เคยเป็นอกุศล ก็จะเห็นว่าเป็นสิ่งที่ควรละ แม้ว่ายังไม่สามารถ ละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา แต่การละอกุศลทางกาย ทางวาจา ทางใจมีเพิ่มขึ้นบ้างถ้าสังขารขันธ์ปรุงแต่งทำให้กาย วาจาดีขึ้น
~
การฟังธรรมไม่มีวันจบ จะมีความเข้าใจธรรมละเอียดขึ้น ซึ่งจะเป็นทางเดียวที่ทำให้ค่อยๆ ละบาปจนกว่าสามารถละได้ซึ่งที่จะละได้จริงๆ ก็คือ ปัญญาสามารถที่จะเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ตามความเป็นจริง
~
ลองคิดถึงคำว่า “ธรรม” ทุกอย่างที่เป็นธรรม ไม่มีใครเป็นเจ้าของ แต่ทำไมไปหลงยึดติดสิ่งที่เพียงเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยว่าเป็นเรา หรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะสิ่งที่เกิดขึ้น ดับแล้ว หมดแล้ว ไม่เหลือเลย ไม่ต้องรอไปจนกระทั่งถึงขณะสุดท้ายที่จะจากโลกนี้ไปซึ่งจะหมดความเป็นบุคคลนี้ ตั้งแต่เกิด จะสุข จะทุกข์อย่างไรก็ไม่มีเหลือ แม้แต่เมื่อวานนี้ก็ไม่เหลือ ขณะก่อนนี้ก็ไม่เหลือ
~
ให้ทราบว่าความติดข้องและความไม่รู้ ยากแสนยากที่จะละได้ เพราะว่าตั้งแต่เช้ามาถึงเดี๋ยวนี้ก็ติดมากมาย นับไม่ถ้วนเลย ขณะใดที่เป็นกุศล ขณะนั้นจึงไม่มีอวิชชา ไม่มีโลภะ ไม่มีโทสะ แต่ว่าขณะใดซึ่งไม่มีปัญญา และกุศลจิตไม่เกิด ขณะนั้นก็เป็นเรื่องของอกุศล
~
สภาพธรรมทั้งหมดแสดงความเป็นอนัตตาจริงๆ ทุกขณะ แต่อวิชชาก็ไม่สามารถที่จะเห็นถูกตามความเป็นจริงได้ ด้วยเหตุนี้การฟังธรรมจึงไม่ประมาทที่จะรู้ว่า จากความไม่รู้ ใครเป็นผู้ที่ทำให้เข้าใจขึ้น ผู้นั้น คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เลิศกว่าบุคคลใดทั้งสิ้นในสากลจักรวาลทั้งหมด
~
โกรธเขาทำไม เสียเวลา เป็นโทษของเราเอง ถ้าเราตายขณะนี้ คนที่เราโกรธเขาสบายมากเลย แต่เรามีความโกรธไปด้วยถึงชาติหน้า เพราะเหตุว่าเราสะสมความโกรธในขณะนั้น เป็นการสะสมของแต่ละบุคคลซึ่งแลกเปลี่ยนกันไม่ได้เลย
~
ในชีวิตประจำวันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงแสดงความจริงของธรรมแต่ละอย่าง จากการที่ไม่เคยรู้เลยว่าเป็นธรรม ให้เริ่มรู้เริ่มเข้าใจว่าทุกขณะเป็นธรรมที่มีลักษณะต่างๆ แล้วก็ปรากฏได้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แต่ละอย่าง แต่ละขณะ เกิดแล้ว ปรากฏแล้ว หมดไปแล้ว ไม่กลับมาอีก
~ ความประพฤติที่ผิดทั้งหมด มาจากความไม่รู้ แล้วใครจะรู้ว่าไม่รู้ ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น พระธรรมไม่ได้สาธารณะ คือ ไม่ทั่วไปกับทุกคน แต่ต้องสำหรับคนที่สะสมมาที่จะเห็นคุณค่าและศึกษาด้วยความเคารพจริงๆ ที่รู้ว่า ทุกคำของพระองค์ เพื่อการขัดเกลากิเลสทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต
~ ถึงเขาจะเป็นใครก็ตาม ดีชั่วประการใดก็ตาม ถ้าเขาสะสมมาที่จะเข้าใจ เขาสามารถที่จะได้รับประโยชน์จากคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่า คำของพระองค์แม้เพียงคำเดียวไม่นำโทษไปให้ใครเลย พระคุณแค่ไหน?
~ การที่ทุกท่านเกิดมาพบกันแต่ละชาติในสังสารวัฏฏ์โดยสถานต่างๆ นั้น บางชาติอาจเป็นเพื่อนฝูงมิตรสหาย บางชาติอาจเป็นศัตรู หรือบางชาติอาจเป็นมารดาบิดา เป็นญาติพี่น้อง แต่การพบกันในชาติที่ได้เกื้อกูลเป็นมิตรกันในพระธรรม หรือมีส่วนร่วมกันเผยแพร่พระธรรม ชาตินั้นต้องเป็นชาติที่ประเสริฐที่สุดในสังสารวัฏฏ์ยิ่งกว่าชาติอื่นๆ ที่เกิดมาโดยสถานอื่น




ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๙๔



... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...



ความคิดเห็น 1    โดย jaturong  วันที่ 15 ธ.ค. 2567

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 2    โดย chatchai.k  วันที่ 15 ธ.ค. 2567

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ


ความคิดเห็น 3    โดย swanjariya  วันที่ 15 ธ.ค. 2567

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง


ความคิดเห็น 4    โดย มังกรทอง  วันที่ 15 ธ.ค. 2567

ฟังธรรม ฟังคำองค์พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ