การดำเนินไป ความเป็นไป ของสรรพสิ่งมันมีสูตรตายตัวใช่ไหมครับ เมื่อปัจจัยนี้ประกอบด้วยปัจจัยนี้ ย่อมจะได้ผลมาอย่างนี้ ผลย่อมเหมือนกันถ้าปัจจัยเหมือนกันใช่ ไหมครับ แต่การที่ปัจจัยจะเหมือนกันให้ผลเหมือนกันเป็นไปแทบไม่ได้เลยใช่ไหมครับ เพราะผลหนึ่งเกิดจากปัจจัยหลายอย่างไม่เหมือนกันควบคุมไม่ได้ ผลจึงไม่เหมือนกันทีเดียว เรื่องของปัจจัยนั้น เป็นเรื่องซับซ้อนละเอียด (เช่น ปัจจัยที่พระสวดขึ้นต้นด้วย เหตุปัจจโย อารัมมณปัจจโยฯ) ปัญญาของปุถุชนยากจะเข้าใจใช่ใหม่ครับ ถามว่า ปัจจัยทั้งหลายเป็นเรื่องอจินไตย หรือเปล่าครับ?
การดำเนินไป ความเป็นไป ของสรรพสิ่งเป็นไปตามเหตุปัจจัย เพราะมีปัจจัยให้เกิดย่อมเกิดขึ้น เพราะปัจจัยดับย่อมดับ ไม่ควรกล่าวว่ามีสูตรตายตัว เรื่องของปัจจัยโดย พิศดารพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในพระอภิธรรมปิฎก ผู้ที่แจ้งอย่างละเอียดคือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นสำหรับบุคคลอื่นรู้ได้ตามฐานะของตน ไม่มีใครรู้เท่าพระพุทธเจ้า ดังนั้นวิสัยความรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในปัจจัยทั้งหลาย เรียกว่าพุทธวิสัย เป็นสิ่งที่บุคคลทั่วไปไม่ควรคิด (อจินไตย)
ถ้าจะสรรเสริญคุณของพระพุทธเจ้า จักรวาลคับแคบเกินไป ภวัคคพรหม ก็ต่ำเกินไป คุณของพระพุทธเจ้าหาที่สุดไม่ได้
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ขอแนะนำให้เข้าใจ ความเข้าใจพื้นฐานเพราะเรื่องปัจจัยเป็นเรื่องยากแม้ขั้นการคิด ไม่ต้องกล่าวถึงการประจักษ์ความจริงครับ การอบรมปัญญาต้องเริ่มจากเข้าใจว่า ธรรมคือ อะไรก่อน เพราะปัญญาต้องรู้ธรรมและอะไรเป็นธรรมหละ อยู่ในขณะนี้หรือเปล่า เพราะถ้าเราคิดนึกถึงเรื่องที่เหลือวิสัย ขณะที่คิดนึกอย่างนั้น เราก็ได้ข้ามความจริงไป แล้วที่เกิดกับเราทุกขณะ และสำคัญผิดว่าเป็นเรา เป็นสัตว์ บุคคล เริ่มต้นว่าธรรมคืออะไร อาจจะคิดว่าง่าย แต่ไม่ง่ายเลย ถ้าเข้าใจถูกต้องครับ อบรมปัญญาเบื้องต้น เพื่อดับกิเลสคือ ฟังให้เข้าใจว่าธรรมคืออะไรครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ปัญญาหรือญาณ ที่จะรู้ถึงปัจจัยที่เป็นไปของสรรพสิ่งนั้นโดยละเอียดแล้ว ก็คือ การประจักษ์แจ้งถึงปัจจัยการเกิดดับของนามธรรมและรูปธรรมได้ ต้องเป็นญาณขั้นที่ ๒ คือ ปัจจยปริคคหญาณ ฉะนั้นก็ไม่ควรใจร้อนที่จะไปรู้ในสิ่งที่เกินกำลังปัญญาของเราในขณะนี้ครับ ถ้าเรายังมีกิเลส เมื่อจิตคิดเกิดขึ้น ความสงสัยก็มีปัจจัยให้เกิดได้ แต่สติจะระลึกรู้สภาพที่กำลังคิดได้หรือยัง ถ้ายังก็เริ่มศึกษาพระธรรมอันลึกซึ้งยิ่งต่อไปครับ เพราะกว่าที่พระพุทธเจ้าจะทรงตรัสรู้อริยสัจจธรรมด้วยพระปัญญาของพระองค์เอง ต้องทรงสั่งสมพระปัญญาบารมีถึง ๔ อสงขัยแสนกัปป์ เหตุนี้ ในฐานะที่เราเป็นเพียงปุถุชน ถ้ายังไม่ถึงขั้นที่ปัญญาจะมีกำลังจนประจักษ์แจ้งในธรรมได้ก็ไม่ควรที่จะคิดเอาเอง อนุมานเอาเอง ด้วยความพยายามของตนเองครับ
หนังสือปรมัตถธรรมสังเขปหน้า ๔๗๐
วิปัสสนาญาณที่ ๒
ปัจจยปริคคหญาณ
เมื่อวิปัสสนาญาณดับไปหมดแล้ว โลกก็ปรากฏรวมกันเหมือนเดิม ผู้เจริญสติปัฏฐานจึงรู้ชัดความต่างกันของขณะที่วิปัสสนาญาณเกิดขึ้น และขณะที่ไม่ใช่วิปัสสนาญาณ เมื่อวิปัสสนาญาณดับหมดแล้ว ความไม่รู้ ความสงสัยในนามธรรม และรูปธรรมอื่นๆ ก็เกิดอีกได้ เพราะความไม่รู้และความสงสัยยังไม่ดับเป็นสมุจเฉท นามรูปปริจเฉทญาณเป็นญาตปริญญาคือ ญาณที่รู้เฉพาะลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏในขณะที่เป็นวิปัสสนาญาณเท่านั้น ในขณะที่เป็นวิปัสสนาญาณนั้น ไม่มีความไม่รู้และความสงสัยลักษณะธรรมที่ปรากฏ นามรูปปริจเฉทญาณเป็นวิปัสสนาขั้นต้นที่นำทางไปสู่วิปัสสนาญาณ ขั้นต่อๆ ไปที่ประจักษ์ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมเพิ่มขึ้น
เมื่อสติปัฏฐาน ระลึกรู้และพิจารณาสังเกตลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมที่ปรากฏต่อๆ ไปอีก ย่อมพิจารณารู้ ขณะที่อารมณ์แต่ละอารมณ์ปรากฏว่า สภาพรู้แต่ละอย่างนั้นย่อมเกิดขึ้นตามปัจจัยคือ อารมณ์ ถ้าอารมณ์นั้นๆ ไม่ปรากฏ นามธรรมที่รู้อารมณ์ก็เกิดไม่ได้ การปรากฏของแต่ละอารมณ์ย่อมทำให้ปัญญาเห็นสภาพเวทนา หรือทุกขเวทนา หรือนามคิดนึก ซึ่งปรากฏโดยสภาพที่แยกขาดจากกันทีละอารมณ์โดยลักษณะสูญเปล่าจากตัวตน เป็นต้น วิปัสสนาญาณประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรม ที่เกิดขึ้นปรากฏตามปกติ แต่เป็นการประจักษ์แจ้ง ลักษณะของสภาพธรรมทางมโนทวาร ซึ่งแยกขาดลักษณะของแต่ละอารมณ์ โดยลักษณะที่ว่างเปล่าจากสิ่งอื่นๆ และตัวตน เมื่อวิปัสสนาญาณดับหมดแล้ว โลกก็ปรากฏรวมกันเหมือนเดิม
ศึกษาพระธรรมโดยละเอียด เพื่อให้รู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้มาเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์ พระธรรมจะเป็นปัจจัยให้จิตน้อมไปที่จะเห็นคุณของการเจริญกุศลที่ประกอบไปด้วยปัญญา แล้วสังขารขันธ์จะทำหน้าที่ปรุงแต่งให้เริ่มละคลายเมื่อเริ่มเห็นโทษของอกุศลเอง ใจเย็นๆ หนทางนี้ยังอีกยาวนาน แต่เป็นหนทางเดียวที่สงบจากกิเลสถาวร เบาใจถาวร และเป็นหนทางที่จะไปถึงความสุขแท้ถาวร คือพระนิพพาน ครับ
ขอความนอบน้อมจงมีแก่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุโมทนาครับ
อบรมปัญญาเบื้องต้นเพื่อดับกิเลสคือ ฟังให้เข้าใจว่าธรรมคืออะไรครับ เรียนถามท่าน "แล้วเจอกัน" ด้วยความเคารพยิ่งเช่นเคยครับ ว่าการฟังคือการอบรมปัญญาเบื้องต้นใช่ไหม ครับ แต่ผมก็ฟัง (การอ่านอ.สุจินต์บอกว่าคือ การฟัง) มาครึ่งชีวิตผมแล้วครับ แต่ก็ยังไม่เข้าใจว่าธรรมคืออะไรที่แท้จริง การเข้าใจกับการรู้ การเห็นธรรมในความหมายของท่านเหมือนกันหรือเปล่าครับ ผมต้องเตรียมใจให้พร้อมก่อนไหมครับก่อนที่จะเข้าใจ นอกจากการฟังแล้วผมต้องปฏิบัติตนดัดสันดานอะไรอื่น อีกไหมครับ
ขอบคุณครับ ถามมากขออภัยโทษด้วยครับ ด้วยความเคารพครับ
แต่ ก็ยังไม่เข้าใจว่าธรรมคืออะไรที่แท้จริง
ขณะนี้เป็นธรรม
สนทนาธรรมที่มูลนิธิ วันที่ 17 มิถุนายน 2550
ถอดเทปโดย คุณย่าสงวน สุจริตกุล
ยินดีในกุศลจิตค่ะ