[เล่มที่ 26] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 165
๒. กฬารขัตติยสูตร
ว่าด้วยโมลิยผัคคุนภิกษุลาสิกขา
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 26]
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 165
๒. กฬารขัตติยสูตร
ว่าด้วยโมลิยผัคคุนภิกษุลาสิกขา
[๑๐๔] พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ครั้งนั้นแล กฬารขัตติยภิกษุเข้าไปหาท่านพระสารีบุตรถึงที่อยู่ แล้วได้ปราศรัยกับท่าน ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เมื่อนั่งเรียบร้อยแล้วได้กล่าวกะท่านพระสารีบุตรว่า ข้าแต่ท่านพระสารีบุตร โมลิยผัคคุนภิกษุได้ลาสิกขา เวียนมาทางฝ่ายต่ำเสียแล้ว.
ท่านพระสารีบุตรกล่าวว่า ท่านโมลิยผัคคุนะนั้นคงไม่ได้ความพอใจในพระธรรมวินัยนี้เป็นแน่.
ก. ถ้าเช่นนั้น ท่านพระสารีบุตรคงได้ความพอใจในพระธรรมวินัยนี้กระมัง.
สา. ท่านผู้มีอายุ ผมไม่มีความสงสัยเลย.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 166
ก. ท่านผู้มีอายุ ก็ต่อไปเล่า ท่านไม่สงสัยหรือ.
สา. ท่านผู้มีอายุ ถึงต่อไปผมก็ไม่สงสัยเลย.
[๑๐๕] ลำดับนั้น กฬารขัตติยภิกษุลุกจากอาสนะ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ท่านพระสารีบุตรอวดอ้างพระอรหัตตผลว่า ข้าพเจ้ารู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ไม่มี.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสั่งภิกษุรูปหนึ่งว่า มานี่แน่ะภิกษุ เธอจงไปเรียกสารีบุตรมาตามคำของเราว่า พระศาสดารับสั่งเรียกหาท่าน.
ภิกษุนั้นรับพระพุทธพจน์แล้ว เข้าไปหาท่านพระสารีบุตรยังที่อยู่ แล้วเรียนต่อท่านว่า ข้าแต่ท่านพระสารีบุตร พระศาสดารับสั่งเรียกหาท่าน.
ท่านพระสารีบุตรรับคำของภิกษุนั้นแล้ว จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรข้างหนึ่ง.
[๑๐๖] พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถามว่า ดูก่อนสารีบุตร เขาว่าเธออวดอ้างอรหัตตผลว่า เรารู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ไม่มี ดังนี้ จริงหรือ.
ท่านพระสารีบุตรกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระองค์หาได้กล่าวเนื้อความตามบท ตามพยัญชนะเช่นนี้ไม่.
พ. ดูก่อนสารีบุตร กุลบุตรย่อมอวดอ้างอรหัตตผลโดยปริยายอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนั้น บุคคลทั้งหลายก็ต้องเห็นอรหัตตผลที่
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 167
อวดอ้างไปแล้ว โดยความเป็นอันอวดอ้าง.
ส. พระพุทธเจ้าข้า แม้ข้าพระองค์ก็ได้กราบทูลไว้อย่างนี้มิใช่หรือว่า ข้าพระองค์หาได้กล่าวเนื้อความตามบท ตามพยัญชนะเช่นนี้ไม่.
ดูก่อนสารีบุตร ถ้าเขาถามเธออย่างนี้ว่า ท่านสารีบุตร ท่านรู้เห็นอย่างไร จึงอวดอ้างอรหัตตผลว่า เราย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ไม่มี เมื่อถูกถามอย่างนี้ เธอพึงพยากรณ์อย่างไร.
พระพุทธเจ้าข้า ถ้าเขาถามข้าพระองค์เช่นนั้น ข้าพระองค์พึงพยากรณ์อย่างนี้ว่า ข้าพเจ้ารู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ไม่มี เพราะรู้ได้ว่า เมื่อปัจจัยแห่งชาติสิ้นแล้ว เพราะปัจจัยอันเป็นต้นเหตุสิ้นไป ชาติจึงสิ้นไป พระพุทธเจ้าข้า เมื่อข้าพระองค์ถูกถามอย่างนี้ ก็พึงพยากรณ์อย่างนี้.
[๑๐๗] ดูก่อนสารีบุตร ถ้าเขาถามเธออย่างนี้ว่า ท่านสารีบุตร ก็ชาติมีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นสมุทัย มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด เมื่อถูกถามเช่นนี้ เธอพึงพยากรณ์อย่างไร.
พระพุทธเจ้าข้า ถ้าเขาถามข้าพระองค์เช่นนั้น ข้าพระองค์พึงพยากรณ์อย่างนี้ว่า ชาติมีภพเป็นเหตุ มีภพเป็นสมุทัย มีภพเป็นกำเนิด มีภพเป็นแดนเกิด.
[๑๐๘] ดูก่อนสารีบุตร ถ้าเขาถามเธออย่างนี้ว่า ท่านสารีบุตร ก็ภพเล่า มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นสมุทัย มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด เมื่อถูกถามเช่นนี้ เธอพึงพยากรณ์อย่างไร.
พระพุทธเจ้าข้า ถ้าเขาถามข้าพระองค์เช่นนั้น ข้าพระองค์พึง
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 168
พยากรณ์อย่างนี้ว่า ภพมีอุปาทานเป็นเหตุ มีอุปาทานเป็นสมุทัย มีอุปาทานเป็นกำเนิด มีอุปาทานเป็นแดนเกิด.
[๑๐๙] ดูก่อนสารีบุตร ถ้าเขาถามเธออย่างนี้ว่า ท่านสารีบุตร ก็อุปาทานเล่า มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นสมุทัย มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด เมื่อถูกถามเช่นนี้ เธอพึงพยากรณ์อย่างไร.
พระพุทธเจ้าข้า ถ้าเขาถามข้าพระองค์เช่นนั้น ข้าพระองค์พึงพยากรณ์อย่างนี้ว่า อุปาทานมีตัณหาเป็นเหตุ มีตัณหาเป็นสมุทัย มีตัณหาเป็นกำเนิด มีตัณหาเป็นแดนเกิด.
[๑๑๐] ดูก่อนสารีบุตร ถ้าเขาถามเธออย่างนี้ว่า ท่านสารีบุตร ก็ตัณหาเล่า มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นสมุทัย มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด เมื่อถูกถามเช่นนี้ เธอพึงพยากรณ์อย่างไร.
พระพุทธเจ้าข้า ถ้าเขาถามข้าพระองค์เช่นนั้น ข้าพระองค์พึงพยากรณ์อย่างนี้ว่า ตัณหามีเวทนาเป็นเหตุ มีเวทนาเป็นสมุทัย มีเวทนาเป็นกำเนิด มีเวทนาเป็นแดนเกิด.
[๑๑๑] ดูก่อนสารีบุตร ถ้าเขาถามเธออย่างนี้ว่า ท่านสารีบุตร ก็เวทนาเล่า มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นสมุทัย มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด เมื่อถูกถามเช่นนี้ เธอพึงพยากรณ์อย่างไร.
พระพุทธเจ้าข้า ถ้าเขาถามข้าพระองค์เช่นนั้น ข้าพระองค์พึงพยากรณ์อย่างนี้ว่า เวทนามีผัสสะเป็นเหตุ มีผัสสะเป็นสมุทัย มีผัสสะเป็นกำเนิด มีผัสสะเป็นแดนเกิด.
[๑๑๒] ดูก่อนสารีบุตร ถ้าเขาถามเธออย่างนี้ว่า ท่านสารีบุตร ท่านรู้เห็นอย่างไร ความเพลิดเพลินในเวทนาจึงไม่ปรากฏ เมื่อถูกถามอย่างนี้ เธอพึงพยากรณ์อย่างไร.
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 169
ข้าพระพุทธเจ้า ถ้าเขาถามข้าพระองค์เช่นนั้น ข้าพระองค์พึงพยากรณ์อย่างนี้ว่า ข้าพเจ้ารู้ว่า เวทนา ๓ เหล่านี้คือ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา เป็นของไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ ความเพลิดเพลินในเวทนาจึงไม่ปรากฏ.
[๑๑๓] ถูกละๆ สารีบุตร ตามที่เธอพยากรณ์ความข้อนั้นโดยย่อ ก็ได้ใจความดังนี้ว่า เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่งล้วนเป็นทุกข์ทั้งนั้น ดูก่อนสารีบุตร ถ้าเขาถามเธออย่างนี้ว่า ท่านสารีบุตร เพราะความหลุดพ้นเช่นไร ท่านจึงอวดอ้างอรหัตตผลว่า ท่านรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ไม่มี เมื่อถูกถามอย่างนี้ เธอพึงพยากรณ์อย่างไร.
พระพุทธเจ้าข้า ถ้าเขาถามข้าพระองค์เช่นนั้น ข้าพระองค์พึงพยากรณ์อย่างนี้ว่า อาสวะทั้งหลายย่อมไม่ครอบงำท่านผู้มีสติอยู่อย่างใด ข้าพเจ้าก็เป็นผู้มีสติอยู่อย่างนั้น เพราะความหลุดพ้นในภายใน เพราะอุปาทานทั้งปวงสิ้นไป ทั้งข้าพเจ้าก็มิได้ดูหมิ่นตนเองด้วย พระพุทธเจ้าข้า เมื่อถูกถามอย่างนี้ ข้าพระองค์พึงพยากรณ์อย่างนี้.
[๑๑๔] ถูกละๆ สารีบุตร ตามที่เธอพยากรณ์ความข้อนั้นโดยย่อ ก็ได้ใจความดังนี้ว่า อาสวะเหล่าใดอันพระสมณะกล่าวแล้ว ข้าพเจ้าไม่สงสัย ไม่เคลือบแคลง ในอาสวะเหล่านั้นว่า อาสวะเหล่านั้น ข้าพเจ้าละได้แล้วหรือยัง.
ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้พระสุคตตรัสดังนี้แล้ เสด็จลุกขึ้นจากพุทธอาสน์ เสด็จเข้าไปยังพระวิหาร.
[๑๑๕] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปแล้วไม่นานนัก ท่าน
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 170
พระสารีบุตรจึงกล่าวกะภิกษุทั้งหลายในที่นั้นว่า ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถามปัญหาข้อแรกกะผม ซึ่งผมยังไม่เคยรู้มาก่อน ผมจึงทูลตอบปัญหาล่าช้าไป ต่อเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุโมทนาปัญหาข้อแรกของผมแล้ว ผมจึงคิดได้ว่า ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าจะพึงตรัสถามความข้อนั้นกะผมตลอดทั้งวันด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ แม้ผมก็พึงทูลตอบความข้อนั้นถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดทั้งวัน แม้ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าจะพึงตรัสถามความข้อนั้นกะผมด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดทั้งคืน แม้ผมก็พึงทูลตอบความข้อนั้นถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดทั้งคืน หากพระผู้มีพระภาคเจ้าจะพึงตรัสถามความข้อนั้นกะผมด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดทั้งคืนทั้งวัน แม้ผมก็พึงทูลตอบความข้อนั้นถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดทั้งคืนทั้งวัน หากพระผู้มีพระภาคเจ้าจะพึงตรัสถามความข้อนั้นกะผมด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดสองคืนสองวัน แม้ผมก็พึงทูลตอบความข้อนั้นถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดสองคืนสองวัน หากพระผู้มีพระภาคเจ้าจะพึงตรัสถามความข้อนั้นกะผมด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดสามคืนสามวัน แม้ผมก็พึงทูลตอบความข้อนั้นถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดสามคืนสามวัน หากพระผู้มีพระภาคเจ้าจะพึงตรัสถามความข้อนั้นกะผมด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดสี่คืนสี่วัน แม้ผมก็พึงทูลตอบความข้อนั้นถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดสี่คืนสี่วัน หากพระผู้มีพระภาคเจ้าจะพึงตรัสถามความข้อ
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 171
นั้นกะผมด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดห้าคืนห้าวัน แม้ผมก็พึงทูลตอบความข้อนั้นถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดห้าคืนห้าวัน หากพระผู้มีพระภาคเจ้าจะพึงตรัสถามความข้อนั้นกะผมด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดหกคืนหกวัน แม้ผมก็พึงทูลตอบความข้อนั้นถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดหกคืนหกวัน หากพระผู้มีพระภาคเจ้าจะพึงตรัสถามความข้อนั้นกะผมด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดเจ็ดคืนเจ็ดวัน แม้ผมก็พึงทูลตอบความข้อนั้นถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดเจ็ดคืนเจ็ดวัน.
[๑๑๖] ลำดับนั้น พระกฬารขัตติยภิกษุลุกขึ้นจากอาสนะ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เมื่อนั่งเรียบร้อยแล้ว จึงกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระพุทธเจ้าข้า ท่านพระสารีบุตรบันลือสีหนาทว่า ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถามปัญหาข้อแรกกะผม ซึ่งผมยังไม่เคยรู้มาก่อน ผมจึงทูลตอบปัญหาล่าช้าไป ต่อเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุโมทนาปัญหาข้อแรกของผมแล้ว ผมจึงคิดได้ว่า ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าจะพึงตรัสถามความข้อนั้นกะผมตลอดทั้งวันด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ แม้ผมก็พึงทูลตอบความข้อนั้นถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดทั้งวัน แม้ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าจะพึงตรัสถามความข้อนั้นกะผมด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดทั้งคืน แม้ผมก็พึงทูลตอบความข้อนั้นถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดทั้งคืน หากพระผู้มีพระภาคเจ้าจะพึง
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 172
ตรัสถามข้อนั้นกะผมด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดทั้งคืนทั้งวัน แม้ผมก็พึงทูลตอบความข้อนั้นถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดทั้งคืนทั้งวัน หากพระผู้มีพระภาคเจ้าจะพึงตรัสถามความข้อนั้นกะผมด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดสองคืนสองวัน แม้ผมก็พึงทูลความข้อนั้นถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดสองคืนสองวัน หากพระผู้มีพระภาคเจ้าจะพึงตรัสถามความข้อนั้นกะผมด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดสามคืนสามวัน แม้ผมก็พึงทูลตอบความข้อนั้นถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดสามคืนสามวัน หากพระผู้มีพระภาคเจ้าจะพึงตรัสถามความข้อนั้นกะผมด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดสี่คืนสี่วัน แม้ผมก็พึงทูลตอบความข้อนั้นถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดสี่คืนสี่วัน หากพระผู้มีพระภาคเจ้าจะพึงตรัสถามความข้อนั้นกะผมด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดห้าคืนห้าวัน แม้ผมก็พึงทูลตอบความข้อนั้นถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดห้าคืนห้าวัน หากพระผู้มีพระภาคเจ้าจะพึงตรัสถามความข้อนั้นกะผมด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดหกคืนหกวัน แม้ผมก็พึงทูลตอบความข้อนั้นถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดหกคืนหกวัน หากพระผู้มีพระภาคเจ้าจะพึงตรัสถามความข้อนั้นกะผมด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดเจ็ดคืนเจ็ดวัน แม้ผมก็พึงทูลตอบความข้อนั้นถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดเจ็ดคืนเจ็ดวัน.
[๑๑๗] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ก็เพราะธรรมธาตุอันสารีบุตรแทงตลอดดีแล้ว แม้หากว่าจะพึงถามความข้อนั้นกะ
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 173
สารีบุตรด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดทั้งวัน สารีบุตรก็คงตอบความข้อนั้นแก่เราด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดทั้งวัน หากเราจะถามความข้อนั้นกะสารีบุตรด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดทั้งคืน สารีบุตรก็คงตอบความข้อนั้นแก่เราด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดทั้งคืน หากเราจะถามความข้อนั้นกะสารีบุตรด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยาย อื่นๆ ตลอดทั้งคืนทั้งวัน สารีบุตรก็คงตอบความข้อนั้นแก่เราด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดทั้งคืนทั้งวัน หากเราจะถามความข้อนั้นกะสารีบุตรด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดสองคืนสองวัน สารีบุตรก็คงตอบความข้อนั้นแก่เราได้ด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดสองคืนสองวัน หากเราจะถามความข้อนั้นกะสารีบุตรด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดสามคืนสามวัน สารีบุตรก็คงตอบความข้อนั้นแก่เราได้ด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดสามคืนสามวัน หากเราจะถามความข้อนั้นกะสารีบุตรด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดสี่คืนสี่วัน สารีบุตรก็คงตอบความข้อนั้นแก่เราได้ด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดสี่คืนสี่วัน หากเราจะถามความข้อนั้นกะสารีบุตรด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดห้าคืนห้าวัน สารีบุตรก็คงตอบความข้อนั้นแก่เราได้ด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดห้าคืนห้าวัน หากเราจะถามความข้อนั้นกะสารีบุตรด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดหกคืนหกวัน สารีบุตรก็คงตอบความข้อนั้นแก่เราได้ด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดหกคืนหกวัน หากเราจะถามความข้อนั้นกะสารีบุตรด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดเจ็ดคืนเจ็ดวัน สารีบุตรก็คงตอบความข้อนั้นแก่เราได้ด้วยบทอื่นๆ ด้วยปริยายอื่นๆ ตลอดเจ็ดคืนเจ็ดวัน.
จบกฬารขัตติยสูตรที่ ๒
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 174
อรรถกถากฬารขัตติยสูตรที่ ๒
พึงทราบวินิจฉัยในกฬารขัตติยสูตรที่ ๒ ต่อไป.
คำว่า กฬารขตฺติโย เป็นชื่อของพระเถระ. ก็ฟันของพระเถระนั้นดำแดง ตั้งอยู่ (ขึ้น) ไม่เสมอกัน ฉะนั้น จึงเรียกว่า "กฬาร."
คำว่า "หีนายาวตฺโต เวียนมาเพื่อความเป็นคนเลว" คือ เวียนมาเพื่อประโยชน์แก่ความเป็นคฤหัสถ์อันต่ำ.
คำว่า "อสฺสาสมลตฺถ ไม่ได้ความพอใจ" ได้แก่ พระโมลิยผัคคุนะ คงไม่ได้ความพอใจ คือที่อาศัย ที่พึ่ง เป็นแน่.
พระสารีบุตรเถระแสดงว่า "ไม่ได้มรรค ๓ และผล ๓ แน่นอน." คำอธิบายของพระเถระมีดังนี้ว่า "ก็ถ้าพระโมลิยผัคคุนะพึงได้มรรคและผลเหล่านั้น เธอไม่พึงลาสิกขา เวียนมาทางฝ่ายต่ำ."
บทว่า "น ขฺวาหํ อาวุโส ท่านผู้มีอายุ ข้าพเจ้าไม่สงสัยเลย" ความว่า "ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ข้าพเจ้าแล มีความพอใจ เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่สงสัย" เพราะว่าสาวกบารมีญาณของพระสารีบุตรเถระ เป็นที่พึ่ง (ของตน) ได้ ฉะนั้น ท่านจึงไม่สงสัย.
ด้วยคำว่า "อายติํ ปนาวุโส ท่านผู้มีอายุ ต่อไปเล่า" นี้ พระกฬารขัตติยะถามถึงการบรรลุพระอรหัตของพระสารีบุตรเถระว่า "การปฏิสนธิต่อไป ท่านเพิกขึ้นแล้วหรือ หรือไม่เพิกขึ้น".
ด้วยคำว่า "น ขฺวาหํ อาวุโส วิจิกิจฺฉามิ ผู้มีอายุ ข้าพเจ้าไม่สงสัยเลย" นี้ พระสารีบุตรเถระแสดงความไม่สงสัยในการบรรลุพระอรหัตนั้น.
บทว่า เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ" ความว่า ได้เข้าไปเฝ้าด้วยคิดว่า "เราจักกราบทูลแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าถึงเหตุดีนี้."
คำว่า อญฺา พฺยากตา แปลว่า พยากรณ์พระอรหัต
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 175
แล้ว.
พระอรหัตตผล ชื่อว่า พระสารีบุตรเถระพยากรณ์แล้วอย่างนี้ว่า "ชาติสิ้นแล้ว."
ก็พระเถระนี้ ยินดีแล้ว เลื่อมใสแล้ว จึงยกบทและพยัญชนะขึ้นกล่าวอย่างนี้.
บทว่า "อญฺตรํ ภิกฺขุํ อามนฺเตสิ ทรงรับสั่งหาภิกษุรูปหนึ่ง" ความว่า พระศาสดาทรงสดับคำกราบทูลนั้นแล้ว ทรงพระดำริว่า "พระสารีบุตรเป็นผู้ฉลาดลึกซึ้ง เธอจักไม่พยากรณ์อย่างนี้ด้วยเหตุไรๆ เพราะปัญหาจักเป็นอันเธอพยากรณ์แล้วโดยย่อ เราจักให้เรียกเธอมาแล้ว ให้พยากรณ์ปัญหานั้น" ดังนี้ จึงทรงรับสั่งภิกษุรูปหนึ่ง.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า สเจ ตํ สารีปุตฺต อย่างนี้เพื่อให้พระสารีบุตรเถระพยากรณ์อรหัตตผลด้วยมีพระดำริว่า สารีบุตรนี้จักไม่พยากรณ์อรหัตตผลตามธรรมดาของตน เราจักถามปัญหานี้ และเธอเมื่อจะกล่าวแก้ปัญหานี้ จักพยากรณ์อรหัตตผล.
บทว่า "ยํ นิทานาวุโส ชาติ ท่านผู้มีอายุ ชาติคือความเกิด มีอะไรเป็นเหตุ" ความว่า ท่านผู้มีอายุ ชื่อว่าชาติคือความเกิดนี้ มีสิ่งใดเป็นเหตุ.
ข้าพเจ้ารู้แล้วว่า "เมื่อปัจจัยแห่งชาติสิ้นแล้ว เพราะปัจจัยอันเป็นต้นเหตุนั้นสิ้นไป ผลคือชาติ จึงสิ้นไป" ดังนี้.
อีกอย่างหนึ่งพระสารีบุตรเถระ ไม่สงสัยในปัญหานี้ แต่สงสัยในอัธยาศัย (พระประสงค์) ของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
เล่ากันว่า พระสารีบุตรเถระนั้น ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า "เราไม่อาจพยากรณ์พระอรหัตตผลด้วยเหตุมากมาย อาทิเช่น ตัณหาสิ้นแล้ว อุปาทานสิ้นแล้ว ภพสิ้นแล้ว ปัจจัยสิ้นแล้ว กิเลสสิ้นแล้ว แต่เมื่อจะกล่าวแก้ปัญหา เราก็จักอาจกำหนดพระประสงค์ของพระศาสดาได้" ดังนี้. พระสารีบุตร-
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 176
เถระสงสัยในพระประสงค์ (ของพระผู้มีพระภาคเจ้า) อย่างนั้นก็จริง. ถึงอย่างนั้น ก็มิได้เว้นปัญหาเลย ได้พยากรณ์ด้วยอำนาจปัจจยาการ.
แม้พระศาสดาก็ทรงมีพระประสงค์จะให้พยากรณ์ด้วยอำนาจปัจจยาการนั่นแหละ. ฉะนั้น พระสารีบุตรเถระนี้ เมื่อจะพยากรณ์ปัญหา จึงได้กำหนดพระประสงค์ของพระศาสดา และได้รู้ก่อนแล้วเทียวว่า "เรากำหนดพระประสงค์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าได้แล้ว".
ก็เพราะเหตุที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถามปัญหาที่สูงขึ้นไป ฉะนั้น จึงควรทราบว่าการพยากรณ์ปัญหานั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุโมทนาแล้ว.
ถามว่าเพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงปรารภความข้อนี้ว่า "ก็ท่านรู้อย่างไร" ดังนี้.
แก้ว่า เพื่อให้พระสารีบุตรเถระบันลือสีหนาทในข้อที่มิใช่วิสัย (ของตน).
เล่ากันมาว่า เมื่อพระศาสดาแสดงเวทนาปริคคหสูตร แก่ทีฆนขปริพาชก ที่ประตูถ้ำสุกรขาตา พระสารีบุตรเถระถือพัดใบตาลยืนถวายงานพัดพระศาสดาอยู่ กำหนดเวทนา ๓ แล้วได้บรรลุสาวกบารมีญาณ.
เวทนานี้มิใช่ธรรมอันเป็นวิสัยของพระสารีบุตรเถระนั้น. พระศาสดาทรงหมายเอาว่า "พระสารีบุตร ผู้ตั้งอยู่ในธรรมอันเป็นวิสัยของตนนี้ จักบันลือสีหนาท" ดังนี้ จึงทรงถามปัญหานี้ ก็หาไม่.
บทว่า "อนิจฺจา" ได้แก่ ชื่อว่า ไม่เที่ยง เพราะอรรถว่า มีแล้วกลับไม่มีนั่นเอง.
ในคำว่า "สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์" นี้ได้แก่สุขเวทนา เป็นสุขเพราะตั้งอยู่ เป็นทุกข์เพราะแปรปรวน ทุกขเวทนาเป็นทุกข์เพราะตั้งอยู่ เป็นสุขเพราะแปรปรวน.
อทุกขมสุขเวทนาเป็นสุขเพราะรู้ เป็นทุกข์เพราะไม่รู้ ก็จริง ถึงอย่างนั้น โดยที่สุดแห่งความแปรปรวน เวทนาทุกอย่าง ชื่อ
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 177
ว่า เป็นทุกข์ทั้งนั้น.
บทว่า "วิทิตํ รู้แล้ว" ได้แก่ เพราะเรารู้แล้วว่า เวทนา ๓ เป็นทุกข์อย่างนี้ ฉะนั้น ความอยากในเวทนาเหล่านั้น จึงเป็นอันพระสารีบุตรเถระนั้นขจัดเสียแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า "ตัณหานั้นไม่ปรากฏ."
คำว่า "สาธุ สาธุ ถูกละๆ " เป็นความรื่นเริงในการกำหนดเวทนาของพระสารีบุตรเถระ.
ก็เมื่อไม่กล่าวว่า "เวทนามีอย่างเดียวบ้าง มี ๒ มี ๓ มี ๔ บ้าง" ดังนี้เลย. พระสารีบุตรเถระได้รู้การกำหนดเวทนาเหล่านั้นว่า "มี ๓."
ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงให้พระสารีบุตรเถระรื่นเริง จึงตรัสอย่างนี้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคำว่า "ทุกฺขสฺมิํ" นี้ โดยพระประสงค์ดังนี้ว่า "ดูก่อนสารีบุตร ข้อที่เธอพยากรณ์ว่า ความอยากในเวทนาทั้งหลายไม่ปรากฏแก่เรา เพราะเหตุนี้" ดังนี้นั้น เป็นการพยากรณ์ที่ดีแล้ว แต่เมื่อเธอจำแนกว่าเวทนามี ๓ อยู่ จึงทำให้เนิ่นช้ายิ่ง เพราะว่า เมื่อเธอพยากรณ์เวทนานั้นว่า "เป็นทุกข์" ดังนี้ พึงเป็นอันพยากรณ์ดีแล้วนั่นเอง และเมื่อเพียงมีความรู้ว่า "เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง ล้วนเป็นทุกข์ทั้งนั้น" ดังนี้ ความอยากในเวทนาทั้งหลาย ก็ตั้งอยู่ไม่ได้.
บทว่า "กถํ วิโมกฺขา เพราะความหลุดพ้นอย่างไร" ได้แก่ เพราะความหลุดพ้นเช่นไร อธิบายว่า "เธอได้พยากรณ์พระอรหัตตผลเพราะวิโมกข์ข้อไหน."
บทว่า "อชฺฌตฺตวิโมกฺขา เพราะความหลุดพ้นภายใน" ได้แก่ เพราะพระอรหัตที่ตนกำหนดสังขารภายในบรรลุแล้ว.
ในคำว่า เพราะความหลุดพ้นภายในนั้น พึงทราบหมวด ๔ ดังนี้ "ความตั้งมั่นในภายใน ที่ชื่อว่า การออกภายใน ๑ ความตั้งมั่นในภายใน
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 178
ที่ชื่อว่า การออกภายนอก ๑ ความตั้งมั่นในภายนอก ที่ชื่อว่า การออกภายนอก ๑ ความตั้งมั่นในภายนอก ที่ชื่อว่า การออกภายใน ๑ ก็แม้ธรรมตั้งมั่นแล้วในภายใน พึงทราบว่า มีในภายนอกนั่นเอง ที่ตั้งมั่นในภายนอก ก็พึงทราบว่า เป็นธรรมภายในนั่นเอง.
เพราะฉะนั้น ภิกษุบางรูปหยั่งญาณลงในสังขารอันเป็นภายใน กำหนดสังขารเหล่านั้นแล้ว หยั่งลงภายนอก ครั้นกำหนด (สังขาร) แม้ในภายนอกได้แล้ว ย่อมหยั่งลงภายในอีก. ในเวลาที่ภิกษุนั้นพิจารณาสังขารอันเป็นภายในย่อมมีการออกจากมรรค. ความตั้งมั่นในภายใน ชื่อว่า เป็นการออกภายในอย่างนี้.
บางรูปหยั่งญาณลงในสังขารอันเป็นภายใน กำหนดสังขารเหล่านั้นแล้ว หยั่งลงภายนอกอีก. ในเวลาที่ภิกษุนั้นพิจารณาสังขารในภายนอก ชื่อว่าเป็นการออกจากมรรค. ความตั้งมั่นในภายใน ชื่อว่า เป็นการออกภายนอกอย่างนี้.
บางรูปหยั่งญาณลงในสังขารในภายนอก กำหนดสังขารเหล่านั้นแล้ว หยั่งลงภายใน ครั้นกำหนดสังขารแม้ที่เป็นภายในได้แล้ว ก็หยั่งลงภายนอกอีก เมื่อเวลาที่ภิกษุนั้นพิจารณาสังขารในภายนอก เป็นอันชื่อว่าออกจากมรรค. ความตั้งมั่นในภายนอก ชื่อว่าเป็นการออกในภายนอกอย่างนี้.
บางรูปหยั่งญาณลงในสังขารภายนอก กำหนดสังขารเหล่านั้นแล้ว หยั่งลงภายในอีก ในเวลาที่ภิกษุนั้นพิจารณาสังขารอันเป็นภายใน ชื่อว่าเป็นการออกจากมรรค. ความตั้งมั่นในภายนอก ชื่อว่าเป็นการออกในภายในอย่างนี้.
ในข้อนั้น พระสารีบุตรเถระกำหนดสังขารอันเป็นภายในแล้ว เมื่อจะแสดงว่า "เราได้บรรลุพระอรหัตแล้ว" ด้วยการออกจากมรรคในเวลากำหนดสังขารเหล่านั้น จึงกล่าวว่า "ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ข้าพเจ้ามีสติอยู่อย่างนั้น เพราะความหลุดพ้นในภายใน."
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 179
บทว่า "สพฺพุปาทานกฺขยา เพราะอุปาทานทั้งปวงสิ้นไป" ได้แก่ เพราะความสิ้นไปแห่งอุปาทาน ๔ ทั้งหมด.
คำว่า "ตถาสโต วิหรามิ เรามีสติอยู่อย่างนั้น" ได้แก่ เราประกอบด้วยสติอยู่ด้วยอาการนั้น.
คำว่า "ยถาสตํ วิหรนฺตํ ผู้มีสติอยู่อย่างไร." ได้แก่ เราผู้ประกอบด้วยสติอยู่ด้วยอาการใด.
ข้อว่า "อาสวา นานุสฺสวนฺติ อาสวะทั้งหลายย่อมไม่ครอบงำ" อธิบายว่า อาสวะทั้งหลายมีกามาสวะเป็นต้น อันมีการไหลไปในอารมณ์ ๖ เป็นธรรมดา ทางทวาร ๖ อย่างนี้ คือ ไหลไป หลากไป หลั่งไหลไป เป็นไปในรูปทางตา ย่อมไม่ครอบงำ คือไม่ตามผูกพันเรา ได้แก่ไม่เกิดขึ้นแก่เรา อย่างไร.
ข้อว่า "อตฺตานญฺจ นาวชานามิ และไม่ดูหมิ่นตนเอง" แปลว่า ไม่ดูถูกตนเอง.
การละความดูหมิ่น จึงเป็นอันพระสารีบุตรเถระกล่าวแล้วด้วยคำนี้. ก็เมื่อเป็นเช่นนี้ ความรู้ทั่วไปย่อมเป็นอันผ่องใส.
บทว่า "สมเณน" ได้แก่ สมณะคือพระพุทธเจ้า.
ข้อว่า "เตสฺวาหํ น กงฺขามิ ข้าพเจ้าไม่สงสัยในอาสวะเหล่านั้น" อธิบายว่า ข้าพเจ้าไม่สงสัยในอาสวะเหล่านั้น แม้โดยสรุปประเภทว่า กามาสวะคืออะไร ภวาสวะคืออะไร ทิฏฐาสวะคืออะไร และอวิชชาสวะคืออะไร ก็ดี โดยการกำหนดตัดจำนวนอย่างนี้ว่า อาสวะมี ๔ ดังนี้ก็ดี.
ข้อว่า "เต เม ปหีนาติ น วิจิกิจฺฉามิ" อธิบายว่า ข้าพเจ้าไม่แคลงใจว่า อาสวะเหล่านั้น ข้าพเจ้าละได้แล้ว.
พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงความข้อนี้ จึงตรัสว่า "เมื่อเธอพยากรณ์อยู่อย่างนี้ พึงเป็นอันพยากรณ์ดีแล้ว แต่เมื่อเธอกล่าวอยู่ว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ข้าพเจ้าเป็นผู้มีสติอยู่อย่างนั้น เพราะความหลุดพ้นในภายใน ดังนี้ จึงทำให้เนิ่นช้ายิ่ง."
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 180
ข้อว่า "อุฏฺายาสนา วิหารํ ปาวิสิ เสด็จลุกจากอาสนะแล้ว เสด็จเข้าสู่พระวิหาร" อธิบายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จลุกขึ้นจากพระพุทธอาสน์อันประเสริฐที่ปูลาดไว้ แล้วเสด็จเข้าสู่ภายในมหาคันธกุฎีอันเป็นที่ประทับ ในเมื่อบริษัทยังมิได้แยกย้ายกันเลย.
เพราะเหตุไร. เพราะว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายเมื่อเทศนายังไม่จบ (และ) บริษัทยังมิได้แยกย้ายกัน ได้เสด็จลุกจากอาสนะ เมื่อจะเสด็จเข้าสู่พระคันธกุฎี ย่อมเสด็จเข้าไปเพื่อชมเชยบุคคลหรือเพื่อชมเชยธรรมะ.
ในการชมเชยนั้น พระศาสดา เมื่อจะเสด็จเข้าไปเพื่อชมเชยบุคคล ได้ทรงพระดำริอย่างนี้ว่า "บทนี้ เรายกขึ้นสู่อุเทศแสดงแต่โดยย่อ มิได้จำแนกโดยพิสดาร พวกภิกษุที่ยอมรับปฏิบัติธรรม เล่าเรียนแล้ว จักเข้าไปถามพระอานนท์บ้าง พระมหากัจจายนะบ้าง ภิกษุเหล่านั้น จักสนทนาเทียบเคียงกับญาณของเรา แต่นั้น พวกที่ยอมรับปฏิบัติธรรมก็จักถามเราอีก เราจักชมเชยบุคคลเหล่านั้นอย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่พระอานนท์ก็ดี พระมหากัจจายนะก็ดี กล่าวแก่ภิกษุแม้เหล่านั้น ชื่อว่า เป็นอันกล่าวดีแล้ว แม้หากพวกเธอจะพึงถามข้อความนี้กะเราไซร้ เราก็จะพึงพยากรณ์อย่างนี้นั่นเอง แต่นั้น พวกภิกษุจักเข้าไปแสดงคารวะต่อพระเถระทั้งสองนั้น แม้พวกภิกษุเหล่านั้นก็จักชักชวนผู้อื่นให้ตั้งอยู่ในอรรถ ในธรรม ผู้ที่ถูกภิกษุเหล่านั้นชักชวนแล้ว จักบำเพ็ญไตรสิกขาให้บริบูรณ์แล้วทำที่สุดทุกข์ได้."
อีกอย่างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงมีพระดำริอย่างนี้ว่า "เมื่อเราหลีกไปเสียแล้ว พระสารีบุตรนี้ จักได้กระทำให้แจ้งซึ่งอานุภาพของตน ครั้นแล้ว เราเองก็จักชมเชยเธออย่างนั้น พวกภิกษุที่ฟังคำชมเชยเธอของเราแล้ว เกิดความคารวะในเธอ จัก
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 181
สำคัญเธอว่าควรเข้าไปหา ควรเชื่อฟังคำของเธอ และควรเชื่อถือ ความสำคัญเช่นนั้น จักมีเพื่อประโยชน์และความสุขแก่พวกเธอตลอดกาลนาน."
พระศาสดา เมื่อจะเสด็จเข้าไปเพื่อทรงชมเชยธรรมะ ได้ทรงพระดำริเหมือนกับที่ทรงพระดำริในธรรมทายาทสูตร.
ก็ในธรรมทายาทสูตรนั้น พระองค์ทรงพระดำริอย่างนี้ว่า "เมื่อเราเข้าไปสู่วิหารแล้ว พระสารีบุตรเมื่อจะติเตียนอามิสทายาท และชมเชยธรรมทายาท จักนั่งในบริษัทนี้แหละแสดงธรรม เทศนานี้ที่เราทั้งสองแสดงตามมติอันมีความประสงค์อย่างเดียวกัน จักเป็นเลิศและหนักเช่นกับฉัตรหิน."
แต่ในพระสูตรนี้ พระศาสดามีพระประสงค์จะสถาปนาท่านพระสารีบุตรประกาศยกคุณธรรมอันดียิ่ง (ของท่าน) จึงเสด็จลุกจากอาสนะ เพื่อจะทรงชมเชยบุคคล แล้วจึงเสด็จเข้าไปสู่พระวิหาร.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงหายไป ณ อาสนะที่ประทับนั่งแล้วในที่เช่นนี้นั่นเอง พึงทราบว่า "เสด็จเข้าสู่พระวิหารด้วยคติแห่งจิต (ด้วยอำนาจจิต) " ก็ถ้าพึงเสด็จไปด้วยคติแห่งกายไซร้ บริษัททั้งปวงก็พึงแวดล้อมพระผู้มีพระภาคเจ้าไป. บริษัทนั้น ได้แยกย้ายกันไปเสียวาระหนึ่ง (ทำนองพักการประชุม) แล้วคงจะกลับมาประชุมใหม่อีก แต่ยังมิทันเรียบร้อย ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงเสด็จเข้าสู่พระวิหารไปด้วยคติแห่งจิต (ด้วยอำนาจจิต) นั่นเอง โดยไม่ปรากฏพระองค์.
ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปแล้วอย่างนี้ ท่านพระสารีบุตรประสงค์จะบันลือสีหนาทที่อนุรูปต่อพระประสงค์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าทีเดียว เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จหลีกไปแล้วไม่นาน จึงได้เรียกพวกภิกษุในที่ประชุมนั้นมา.
ข้อว่า "ปุพฺเพ อปฺปฏิสํวิทิตํ ไม่เคยรู้
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 182
มาก่อน" ได้แก่ ปัญหาอันข้าพเจ้าไม่ทราบ คือไม่รู้มาก่อนว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าจักตรัสถามปัญหาชื่อนี้.
คำว่า "ปมํ ปญฺหํ ปัญหาข้อแรก" ได้แก่ ปัญหาข้อแรกนี้ คือ ดูก่อนสารีบุตร ถ้าเขาถามเธออย่างนี้ว่า ท่านสารีบุตร ท่านรู้เห็นอย่างไร จึงพยากรณ์พระอรหัตตผลว่า ข้าพเจ้ารู้ชัดว่า ชาติคือความเกิดสิ้นแล้ว.
บทว่า "ทนฺธายิตตฺตํ ทูลตอบล่าช้า" ได้แก่ ความล่าช้า คือความไม่รวดเร็ว ได้มีเพื่อที่จะได้รู้พระประสงค์ของพระศาสดา.
ข้อว่า "ปมํ ปญฺหํ อนุโมทิ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุโมทนาปัญหาข้อที่ ๑ แล้ว" อธิบายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงถามปัญหาข้อที่ ๒ นี้ว่า ท่านพระสารีบุตร ก็ชาติมีอะไรเป็นเหตุ ได้ทรงอนุโมทนาปัญหาข้อที่ ๑ ที่พระสารีบุตรเถระแก้แล้วอย่างนี้ว่า ชาติมีปัจจัยเป็นต้นเหตุ.
บทว่า "เอตทโหสิ ได้มีความคิด" อธิบายว่า ความคิดนี้ได้มีแล้ว เพราะค่าที่ปัญหาได้ปรากฏโดยความเป็นหมู่เดียวกัน โดยนัยตั้งร้อยตั้งพัน ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าอนุโมทนาแล้ว.
ข้อว่า "ทิวสปหํ ภควโต เอตมตฺถํ พฺยากเรยฺยํ แม้ข้าพเจ้าก็พึงทูลตอบข้อความนี้ถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าตลอดทั้งวัน" อธิบายว่า ข้าพเจ้าถูกพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามถึงเนื้อความในปฏิจจสมุปบาท แม้ตลอดทั้งวัน ก็พึงทูลตอบถวายด้วยบทและพยัญชนะอื่นๆ แม้ตลอดทั้งวัน.
ข้อว่า "เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ" อธิบายว่า เล่ากันว่า พระกฬารขัตติยภิกษุนั้น ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า พระสารีบุตรเถระย่อมบันลือสีหนาทอย่างยิ่ง เราจักกราบทูลเหตุดีนี้แด่พระทศพล เพราะฉะนั้น พระกฬารขัตติยะจึงได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระ-
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค เล่ม ๒ - หน้า 183
ภาคเจ้าถึงที่ประทับ.
สาวกบารมีญาณ อันสามารถมองเห็นความดับแห่งปัจจยาการ ชื่อว่า ธรรมธาตุ ในคำนี้ว่า "ดูก่อนภิกษุ ก็ธรรมธาตุนั้น." ก็สาวกบารมีญาณของพระสาวกทั้งหลาย เป็นไปในคติแห่งพระสัพพัญญุตญาณ นั่นเอง.
ธรรมทั้งหลายที่เป็นอดีตเป็นอนาคตและเป็นปัจจุบัน ย่อมปรากฏแก่พระสัพพัญญุตญาณ ฉันใด สาวกบารมีญาณของพระสารีบุตรเถระ ย่อมรู้โคจรธรรมทั้งปวงของสาวกญาณ ก็ฉันนั้น.
จบอรรถกถากฬารขัตติยสูตรที่ ๒