จากที่ได้ฟังธรรมจากท่านอาจารย์ หนูมีความสงสัยเรื่องความคิด เรื่องฝันค่ะ
1.ความคิดต่างๆ นี่เป็นนามธรรมหรือรูปธรรมคะ ทำอย่างไรถึงจะไม่ให้คิดเรื่องฟุ้งซ่านได้คะ
2.แล้วถ้าสมองไม่ได้เป็นตัวที่คิด แล้วทำไมพอเราคิดมากๆ เข้าถึงปวดหัวคะ ที่เรียนมาเขาก็บอกว่าใช้ความคิดมากจึงปวดหัวตรงที่สมองค่ะ
3.ความฝันนี้เกิดจากที่สิ่งที่เราได้จำ แต่บางครั้งก็ฝันกับคนและสถานที่เราไม่เคยเจอมาก่อนทำไมถึงฝันแบบนั้นได้คะ
ขอบคุณมากค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
1.ความคิดต่างๆ นี่เป็นนามธรรมหรือรูปธรรมคะ ทำอย่างไรถึงจะไม่ให้คิดเรื่องฟุ้งซ่านได้คะ
➢ ประโยชน์จากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดง ก็เพื่อเข้าใจสภาพธรรมที่มีจริง ที่กำลังมี กำลังปรากฏ ตามความเป็นจริง ซึ่งสิ่งที่ศึกษานั้น ไม่พ้นจากขณะนี้เลย ไม่พ้นไปจาก สภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ถึงแม้จะมีสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้ แต่เพราะไม่รู้ จึงต้องศึกษาด้วยความละเอียดรอบคอบจริงๆ ก่อนอื่น เมื่อกล่าวถึงคำอะไร ก็ต้องเข้าใจให้ชัดเจน ในคำที่กล่าวถึงด้วย จึงจะเป็นประโยชน์ในการศึกษาอย่างแท้จริง แม้กระทั่งคำว่า ความคิดนึก ความคิดนึกเป็นสภาพธรรมที่มีจริงๆ ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่เป็นนามธรรม ไม่ใช่รูปธรรม ครับ
ความฟุ้งซ่านเป็นธรรมะที่มีจริง เป็นเจตสิกธรรม จะเรียกว่าอุทธัจจเจตสิก ซึ่งเป็นภาษาบาลี ไม่ใช่เพียงรู้จักแต่ชื่อ ควรจะให้เข้าใจถึงลักษณะจริงๆ ของธรรม อุทธัจจเจตสิกเป็นอกุศลสาธารณะเจตสิกซึ่งเกิดกับอกุศลจิตทุกประเภท อกุศลสาธารณเจตสิกมี ๔ ดวง ได้แก่ โมหเจตสิก อหิริกเจตสิก อโนตตัปปะ และอุทธัจจเจตสิก ขณะที่อกุศลจิตเกิด ขณะนั้นมีโมหเจตสิกที่ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง มีอหิริกเจตสิกที่ไม่ละอายต่ออกุศลธรรม มีอโนตัปปเจตสิกที่ไม่เกรงกลัวต่อภัยของ อกุศลธรรม และอุทธัจจเจตสิก ความฟุ้งซ่านเกิดร่วมด้วย ขณะนั้นจิตไม่สงบจะเป็นโลภะหรือโทสะความฟุ้งซ่านก็เกิดขึ้นแล้ว พระอรหันต์ดับอุทธัจจะดับกิเลสทั้งหมดสิ้น แต่ตราบใดที่ยังไม่ใช่พระอรหันต์ก็ย่อมมีความฟุ้งซ่าน บางท่านยังมีความไม่เข้าใจคิดว่าความฟุ้งซ่านเป็นวิบาก เป็นผลของกรรม ดังนั้นการฟังธรรมเพื่อให้เข้าใจจริงๆ คิดเองไม่ได้เลย พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงว่า ความฟุ้งซ่านเป็นกิเลสไม่ใช่ผลของกรรม
2.แล้วถ้าสมองไม่ได้เป็นตัวที่คิดแล้วทำไมพอเราคิดมากๆ เข้าถึงปวดหัวคะ ที่เรียนมาเขาก็บอกว่าใช้ความคิดมากจึงปวดหัวตรงที่สมองค่ะ
➢ สมอง ก็คือ การประชุมรวมกันของสภาพธรรมที่เป็นรูปธรรม รูปธรรม คิดไม่ได้ นึกคิดไม่ได้ จำไม่ได้ แต่การนึกคิดได้ จำได้ เป็นหน้าที่ของ จิต เจตสิกที่เกิดขึ้น และอาศัย รูปเป็นปัจจัยด้วยครับ
ซึ่งขณะที่คิดมาก ขณะนั้นจิตคิด ไม่ใช่สมอง ส่วนปวดหัวก็เป็น ทุกขกายวิญญาณอกุศลวิบาก เท่านั้นครับ
3.ความฝันนี้เกิดจากที่สิ่งที่เราได้จำ แต่บางครั้งก็ฝันกับคนและสถานที่เราไม่เคยเจอมาก่อน ทำไมถึงฝันแบบนั้นได้คะ
➢ ในความเป็นจริงเราไม่ได้เกิดมาชาติเดียว เกิดมานับชาติไม่ถ้วน แต่จำไม่ได้ เพราะฉะนั้น ก็มีการฝันแม้คนที่ไม่เคยเห็นในชาตินี้ แต่เป็นคนที่เคยเห็นในอดีตชาติ เพียงแต่เราจำไม่ได้เท่านั้น ครับ อนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
-คิด มีจริง เป็นธรรม ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใคร เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ซึ่งมีจริงๆ เพราะแต่ละคนแต่ละท่านก็คิดด้วยกันทั้งนั้น แต่ก็ไม่เข้าใจว่าเป็นธรรม จนกว่าจะได้ฟังความจริงที่เป็นสัจจธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง จากที่เป็นเราคิด ก็เข้าใจได้ว่าที่คิดนั้น คือ ธรรม ที่เป็นนามธรรม ได้แก่ จิต และเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย เกิดขึ้นเป็นไปหลังเห็น หลังได้ยิน เป็นต้น ก็คิดแล้ว หรือแม้ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ก็คิด ได้ คิดถึงเรื่องราวต่างๆ ขณะที่คิดนั้น เป็นธรรม เพราะรูปธรรมคิดไม่ได้ ถ้าขณะที่คิดนั้น เป็นไปกับด้วยอกุศล ก็ไม่สงบ เพราะมีความไม่สงบแห่งจิต คือ อุทธัจจเจตสิก เกิดร่วมด้วย
-ขณะที่ปวดหัว ถ้าเข้าใจในความเป็นจริงของธรรม ว่า รูป เจ็บ ไม่ได้ ปวดไม่ได้ ที่เจ็บที่ปวด เป็นนามธรรมที่เกิดขึ้น เพราะมีรูปร่างกาย ก็ยังเป็นเหตุให้ได้รับผลของกรรม ตามควรแก่เหตุที่ได้กระทำแล้ว โดยไม่มีใครทำให้เลย
-ฝัน เป็นธรรม ที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ไม่สามารถจะบอกได้่ว่าจะฝันในเรื่องใด ตราบใดที่ยังเป็นผู้มีกิเลสอยู่ ฝัน ก็ย่อมมีได้ ตามเหตุตามปัจจัย เป็นกุศล บ้าง เป็นอกุศลบ้าง ในขณะที่ฝัน ย่อมไม่พ้นไปจากนามธรรม คือ จิตและเจตสิกที่เกิดขึ้น เป็นธรรมที่มีจริง ที่ควรรู้ควรศึกษาให้เข้าใจ เพราะเมื่อเป็นธรรม ก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
คิดเป็นนามธรรม ฟุ้งซ่านเป็นธรรม ปัญญาเกิดไม่ฟุ้งซ่าน ค่ะ
พอเข้าใจขึ้นบ้างแล้วค่ะ แล้วความคิดนี่ก็เป็นเจตสิกใช่ไหมค่ะ เพราะจิตน่าจะเป็นตัวที่รับรู้อย่างเดียว ไม่รู้ว่าเข้าใจถูกรึเปล่าค่ะ
เรียนความเห็นที่ 4 ครับ
ถ้ากล่าวโดยเฉพาะเจาะจงแล้ว คิดได้ อาศัยการเกิดขึ้นร่วมกันของจิต เจตสิก
แต่ สภาพธรรมที่ตรึก นึกคิด เป็นหน้าที่ของ เจตสิก คือ วิตกเจตสิก ครับ
ขออนุโมทนา
ขอบคุณทุกท่านมากค่ะ
__/|\__♡♥♥♡
สาธุพระธรรมคะ