วรรคที่ ๓ ว่าด้วยบุคคลคนเดียวที่เกิดขึ้นแล้วยังความพินาศแก่โลกเป็นต้น
โดย บ้านธัมมะ  18 ต.ค. 2564
หัวข้อหมายเลข 38428

[เล่มที่ 33] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาคที่ ๒ - หน้า 191

วรรคที่ ๓

เรื่องบุคคลคนเดียวที่เกิดขึ้นแล้วยังความพินาศแก่โลกเป็นต้น 191/191

อรรถกถาวรรคที่ ๓ 194

อรรถกถาสูตรที่ ๑ 194

อรรถกถาสูตรที่ ๒ 194

อรรถกถาสูตรที่ ๓ 195

อรรถกถาสูตรที่ ๔ 196

อรรถกถาสูตรที่ ๕ 197


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 33]



ความคิดเห็น 1    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 30 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาคที่ ๒ - หน้า 191

วรรคที่ ๓

ว่าด้วยบุคคลคนเดียวที่เกิดขึ้นแล้วยังความพินาศแก่โลกเป็นต้น

[๑๙๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลคนเดียว เมื่อเกิดขึ้นในโลก ย่อมเกิดขึ้นเพื่อไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล ไม่เป็นความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่อความฉิบหาย มิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความทุกข์แก่เทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย บุคคลคนเดียวคือใคร คือ บุคคลผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ มีความเห็นวิปริต เขาทำให้คนเป็นอันมากออกจากสัทธรรมแล้วให้ตั้งอยู่ในอสัทธรรม ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลคนเดียวนี้แล เมื่อเกิดขึ้นในโลก ย่อมเกิดขึ้นเพื่อไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล ไม่เป็นความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่อความฉิบหาย มิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความทุกข์แก่เทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย.

[๑๙๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลคนเดียว เมื่อเกิดขึ้นในโลก ย่อมเกิดขึ้นเพื่อเป็นประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่อประโยชน์หิตสุขแก่เทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย บุคคลคนเดียวคือใคร คือ บุคคลผู้เป็นสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นไม่วิปริต เขาทำให้คนเป็นอันมากออกจากอสัทธรรมแล้วให้ตั้งอยู่ในสัทธรรม ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลคนเดียวนี้แล เมื่อเกิดขึ้นในโลก ย่อมเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่อประโยชน์หิตสุขแก่เทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย.

[๑๙๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราไม่เล็งเห็นธรรมอย่างอื่นแม้


ความคิดเห็น 2    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 30 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาคที่ ๒ - หน้า 192

ข้อหนึ่ง ซึ่งจะมีโทษมากเหมือนมิจฉาทิฏฐินี้เลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โทษทั้งหลายมีมิจฉาทิฏฐิเป็นอย่างยิ่ง.

[๑๙๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราไม่เล็งเห็นบุคคลอื่นแม้คนเดียว ที่ปฏิบัติเพื่อไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล ไม่เป็นความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่อความฉิบหาย มิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความทุกข์แก่เทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย เหมือนกับโมฆบุรุษชื่อว่ามักขลินี้เลย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุคคลพึงทิ้งลอบไว้ที่ปากอ่าว เพื่อไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความทุกข์ เพื่อความเสื่อม ความพินาศแก่ปลาเป็นอันมาก. แม้ฉันใด โมฆบุรุษชื่อว่ามักขลิก็ฉันนั้นเหมือนกันแล เป็นดังลอบสำหรับดักมนุษย์ เกิดขึ้นแล้วในโลก เพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความทุกข์ เพื่อความเสื่อม เพื่อความพินาศแก่สัตว์เป็นอันมาก.

[๑๙๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ที่ชักชวนเข้าในธรรมวินัยที่กล่าวไว้ชั่ว ๑ ผู้ที่ถูกชักชวนแล้วปฏิบัติเพื่อความเป็นอย่างนั้น ๑ คนทั้งหมดนั้น ย่อมประสบกรรมมิใช่บุญเป็นอันมาก ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะธรรมท่านกล่าวไว้ชั่ว.

[๑๙๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ที่ชักชวนเข้าในธรรมวินัยที่กล่าวไว้ดี ๑ ผู้ที่ถูกชักชวนแล้วปฏิบัติเพื่อความเป็นอย่างนั้น ๑ คนทั้งหมดนั้น ย่อมประสบบุญเป็นอันมาก ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะธรรมท่านกล่าวไว้ดีแล้ว.

[๑๙๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทายกพึงรู้จักประมาณในธรรมวินัยที่กล่าวไว้ชั่ว ปฏิคาหกไม่จำต้องรู้จักประมาณ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะธรรมท่านกล่าวไว้ชั่ว.


ความคิดเห็น 3    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 30 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาคที่ ๒ - หน้า 193

[๑๙๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปฏิคาหกพึงรู้จักประมาณในธรรมวินัยที่กล่าวไว้ดี ทายกไม่จำต้องรู้จักประมาณ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะธรรมท่านกล่าวไว้ดีแล้ว.

[๑๙๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ที่ปรารภความเพียรในธรรมวินัยที่กล่าวไว้ชั่ว ย่อมอยู่เป็นทุกข์ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะธรรมท่านกล่าวไว้ชั่ว.

[๒๐๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้เกียจคร้านในธรรมวินัยที่กล่าวไว้ดี ย่อมอยู่เป็นทุกข์ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะธรรมท่านกล่าวไว้ดีแล้ว.

[๒๐๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ที่เกียจคร้านในธรรมวินัยที่กล่าวไว้ชั่ว ย่อมอยู่เป็นสุข ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะธรรมท่านกล่าวไว้ชั่ว.

[๒๐๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ปรารภความเพียรในธรรมวินัยที่กล่าวไว้ดี ย่อมอยู่เป็นสุข ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะธรรมท่านกล่าวไว้ดีแล้ว.

[๒๐๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนคูถแม้เพียงเล็กน้อย ก็มีกลิ่นเหม็น ฉันใด ภพแม้เพียงเล็กน้อยก็ฉันนั้นเหมือนกัน เราไม่สรรเสริญ โดยที่สุดแม้ชั่วกาลเพียงลัดนิ้วมือเดียวเลย.

[๒๐๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนมูตร ... น้ำลาย ... หนอง ... เลือดแม้เพียงเล็กน้อย ก็มีกลิ่นเหม็น แม้ฉันใด ภพแม้เพียงเล็กน้อยก็ฉันนั้นเหมือนกัน เราไม่สรรเสริญ โดยที่สุดแม้ชั่วกาลเพียงลัดนิ้วมือเดียวเลย.

จบวรรคที่ ๓


ความคิดเห็น 4    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 30 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาคที่ ๒ - หน้า 194

อรรถกถาวรรคที่ ๓ (๑)

อรรถกถาสูตรที่ ๑

ในวรรคที่ ๓ สูตรที่ ๑ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.

บทว่า มิจฺฉาทิฏฺิโก ได้แก่ ผู้ไม่เห็นตามความเป็นจริง. บทว่า วิปรีตทสฺสโน ได้แก่ เป็นผู้มีความเห็นแปรปรวนไปตามความเห็นผิดนั้นทีเดียว. บทว่า สทฺธมฺมา วุฏฺาเปตฺวา ความว่า ให้ออกจากธรรมคือกุศลกรรมบถ ๑๐. บทว่า อสทฺธมฺเม ปติฏฺาเปติ ความว่า ให้ตั้งอยู่ในอสัทธรรม กล่าวคืออกุศลกรรมบถ ๑๐. ก็ในบทว่า เอกปุคฺคโล นี้ พึงทราบว่า ได้แก่ พระเทวทัตกับครูทั้ง ๖ และคนอื่นๆ ที่เป็นอย่างนี้.

จบอรรถกถาสูตรที่ ๑

อรรถกถาสูตรที่ ๒

ในสูตรที่ ๒ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.

บทว่า สมฺมาทิฏฺิโฏ ได้แก่ ผู้มีความเห็นตามความเป็นจริง.

บทว่า อวิปรีตทสฺสโน ได้แก่ ผู้มีความเห็นอันไม่แปรปรวนไปจากความเห็นชอบนั้นนั่นแหละ. บทว่า อสทฺธมฺมา ความว่า จากอกุศลกรรมบถ ๑๐. บทว่า สทฺธมฺเม ความว่า ในสัทธรรม กล่าวคือกุศลกรรมบถ ๑๐. ก็ในบทว่า เอกปุคฺคโล นี้ ในเมื่อพระพุทธเจ้ายังมิได้เสด็จอุปบัติ ย่อมได้แก่บุคคลมีอาทิอย่างนี้ คือ พระเจ้าจักรพรรดิ


(๑) บาลี ๑๙๑ - ๒๐๔.


ความคิดเห็น 5    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 30 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาคที่ ๒ - หน้า 195

พระสัพพัญญูโพธิสัตว์ เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติแล้ว ย่อมได้แก่พระพุทธเจ้าและสาวกของพระพุทธเจ้า.

จบอรรถกถาสูตรที่ ๒

อรรถกถาสูตรที่ ๓

ในสูตรที่ ๓ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.

บทว่า มิจฺฉาทิฏฺิปรมานิ นี้ มีวิเคราะห์ว่า มิจฉาทิฏฐิเป็นอย่างยิ่งของโทษเหล่านั้น เหตุนั้นโทษเหล่านั้นชื่อว่า มิจฺฉาทิฏิปรมานิ โทษทั้งหลายมีมิจฉาทิฏิเป็นอย่างยิ่ง. อธิบายว่า อนันตริยกรรม ๕ ชื่อว่ากรรมมีโทษมาก. มิจฉาทิฏฐิเท่านั้น ชื่อว่ามีโทษมากกว่าอนันตริยกรรม ๕ แม้เหล่านั้น.

ถามว่า เพราะเหตุไร. ตอบว่า เพราะอนันตริยกรรม ๕ นั้น มีเขตกำหนด. ด้วยว่า ท่านกล่าวอนันตริยกรรม ๔ อย่างว่า ให้เกิดในนรก. แม้สังฆเภทก็เป็นกรรมตั้งอยู่ในนรกชั่วกัปเท่านั้น. อนันตริยกรรมเหล่านั้นมีเขตกำหนดที่สุด ก็ยังปรากฏด้วยประการอย่างนี้. ส่วนนิยตมิจฉาทิฏฐิ คือ ความเห็นผิดอันดิ่ง ไม่มีเขตกำหนด เพราะนิยตมิจฉาทิฏฐินั้นเป็นรากเหง้าของวัฏฏะ. การออกไปจากภพ ย่อมไม่มีสำหรับคนผู้ประกอบด้วยนิยตมิจฉาทิฏฐินั้น. ชนเหล่าใด เชื่อฟังถ้อยคำของคนผู้ประกอบด้วยนิยตมิจฉาทิฏฐินั้น แม้ชนเหล่านั้นก็ย่อมปฏิบัติผิด. อนึ่ง ทั้งสวรรค์ ทั้งมรรค ย่อมไม่มีแก่คนผู้ประกอบด้วยนิยตมิจฉาทิฏฐินั้น ในคราวกัปพินาศ เมื่อมหาชนพากันเกิดในพรหมโลก บุคคลผู้เป็นนิยตมิจฉาทิฏฐิ ไม่เกิดในพรหมโลกนั้น (แต่กลับ) เกิดที่หลังจักรวาล. ถามว่า ก็หลัง


ความคิดเห็น 6    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 30 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาคที่ ๒ - หน้า 196

จักรวาลไฟไม่ไหม้หรือ. ตอบว่า ไหม้. บางอาจารย์กล่าวว่า ก็เมื่อหลังจักรวาลแม้ถูกไฟไหม้อยู่ คนผู้เป็นนิยตมิจฉาทิฏฐินี้ ก็ถูกไฟไหม้อยู่ในโอกาสแห่งหนึ่งในอากาศ.

จบอรรถกถาสูตรที่ ๓

อรรถกถาสูตรที่ ๔

ในสูตรที่ ๔ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.

บทว่า มกฺขลิ ความว่า เจ้าลัทธิผู้ได้ชื่ออย่างนี้ เพราะยึดคำว่า มา ขลิ อย่าพลาดล้มนะ. บทว่า นทีมุเข ความว่า ในที่ที่แม่น้ำ ๒ สายมาบรรจบกัน. คำนี้เป็นเพียง (ยกมา) เทศนาเท่านั้น. น้ำแม้อย่างอื่นเห็นปานนั้น ซึ่งมีสถานที่มาบรรจบกันของแม่น้ำสายใดสายหนึ่ง ในบรรดาน้ำแม้เหล่านี้ คือ ลำธาร ๒ สาย สายน้ำ ๒ สาย ทะเล สายน้ำจืด ทะเลสายน้ำเค็ม และแม่น้ำแห่งสมุทร. บทว่า ขิปํ (๑) แปลว่า ลอบ. บทว่า อุชฺเฌยฺย แปลว่า ดัก. อธิบายว่า พวกมนุษย์เอาไม้อ้อ ต้นอ้อย ไม้ไผ่ หรือเส้นเถาย่านทรายมาสานให้เป็นลอบขนาดเท่าหม้อใบเดียวบ้าง ๒ ใบบ้าง ๓ ใบบ้าง ผูกงาที่ปากลอบด้วยหวาย นำไปดัก เอาปากลอบจมไว้ในน้ำ ตอกหลักขนาบไว้ทั้งสองข้าง ผูกลอบด้วยหวายไว้กับหลักนั้น. คำว่า ดักลอบ นี้ ท่านกล่าวหมายเอาการกระทำดังกล่าวแล้วนั้น. ก็แม้ปลาตัวเล็กๆ เข้าไปในลอบนั้นแล้วก็หลุดออกไปไม่ได้. บทว่า อนยาย ความว่า เพื่อความไม่เจริญ. บทว่า พฺยสนาย ความว่า เพื่อความฉิบหาย. บทว่า มกฺขลิ โมฆปุริโส ได้แก่ บุรุษ


(๑) ม. ขิปฺปํ ลอบ.


ความคิดเห็น 7    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 30 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาคที่ ๒ - หน้า 197

เปล่าชื่อมักขลิโคสาลผู้นี้. บทว่า มนุสฺสขิปํ มญฺเ โลเก อุปฺปนฺโน ความว่า เกิดขึ้นแล้วในโลก เป็นเหมือนลอบดักมนุษย์ เพื่อห้ามมหาชนไปในทางนั้น คือ ทางไปสวรรค์และพระนิพพาน.

จบอรรถกถาสูตรที่ ๔

อรรถกถาสูตรที่ ๕ เป็นต้น

ในสูตรที่ ๕ เป็นต้น พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.

บทว่า ทุรกฺขาเต ภิกฺขเว ธมฺมวินเย มีอธิบายว่า คำสอนของเจ้าลัทธินอกพระศาสนา ชื่อว่าธรรมวินัยที่กล่าวไว้ชั่ว. เพราะว่าในคำสอนนั้น แม้ผู้สอนก็ไม่เป็นสัพพัญญู แม้ธรรมก็เป็นธรรมที่กล่าวไว้ชั่ว แม้หมู่คณะก็เป็นผู้ปฏิบัติชั่ว. บทว่า โย จ สมาทเปติ ได้แก่ บุคคลผู้เป็นอาจารย์คนใดย่อมชักชวน. บทว่า ยญฺจ สมาทเปติ ความว่า ชักชวนอันเตวาสิก (ศิษย์) คนใด. บทว่า โย จ สมาทปิโต ตถตฺตาย ปฏิปชฺชติ ความว่า อันเตวาสิกคนใดถูกอาจารย์ชักชวนแล้ว กระทำตามคำของอาจารย์อยู่ ชื่อว่าปฏิบัติเพื่อความเป็นอย่างนั้น. บทว่า พหุํ อปุญฺํ ปสวติ อธิบายว่า ก็บุคคลผู้ชักชวน เมื่อชักชวนคน ๑๐๐ คนในกรรมมีปาณาติบาตเป็นต้น ย่อมได้อกุศลเท่ากันกับอกุศลของคนผู้ถูกชักชวนแม้ทั้งหมดนั้น เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า คนเหล่านั้นทั้งหมดย่อมประสบกรรมมิใช่บุญเป็นอันมาก.

บทว่า สฺวากฺขาเต ได้แก่ ในพระธรรมและพระวินัยที่ตรัสไว้ดีแล้ว คือ แสดงไว้ดีแล้ว เพราะในพระธรรมและพระวินัยเห็นปานนี้ พระศาสดาก็ทรงเป็นพระสัพพัญญู พระธรรมพระศาสดาก็ตรัสไว้ดีแล้ว และ


ความคิดเห็น 8    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 30 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาคที่ ๒ - หน้า 198

หมู่คณะก็เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว. บทว่า สพฺเพ เต พหุํ ปุญฺํ ปสวติ มีอธิบายว่า คนผู้ชักชวนได้เห็นภิกษุทั้งหลายเข้าไปบิณฑบาต ได้ชักชวนคนอื่นๆ ให้ถวายข้าวยาคูและภัตเป็นต้น ย่อมได้กุศลเท่ากับกุศลของผู้ถวายทานแม้ทั้งหมด. เพราะเหตุนั้น พระองค์จึงตรัสว่า คนเหล่านั้นทั้งหมดย่อมประสบบุญเป็นอันมาก.

บทว่า ทายเกน มตฺตา ชานิตพฺพา ความว่า บุคคลผู้ให้พึงรู้ประมาณ คือ พึงให้พอประมาณ ให้จนเต็ม ไม่ควรให้จนล้น แต่ไม่กล่าวว่า ไม่พึงให้ ดังนี้ กล่าวว่า พึงให้หน่อยหนึ่งๆ พอประมาณ. ถามว่า เพราะ เหตุไร. ตอบว่า เพราะเมื่อเต็มแล้วแม้จะให้เกินไป มนุษยสมบัติ ทิพยสมบัติ หรือนิพพานสมบัติที่เกินไปย่อมไม่มี. บทว่า โน ปฏิคฺคาหเกน ความว่า ก็สำหรับปฏิคาหก ชื่อว่ากิจในการรู้จักประมาณแล้วรับเอาย่อมไม่มี. ถามว่า เพราะเหตุไร. ตอบว่า เพราะขึ้นชื่อว่าปฏิปทาในความเป็นผู้มักน้อย ซึ่งมีมูลมาแต่การรู้ประมาณ เต็มแล้วรับพอประมาณ ย่อมไม่มีแก่ปฏิคาหกนั้น. แต่ว่าได้เท่าใด ควรรับเอาเท่านั้น. เพราะเค้ามูลในการรับอย่างเหลือล้นสำหรับปฏิคาหกนั้น จักเป็นการรับเพื่อเลี้ยงบุตรและภรรยาไป.

บทว่า ปฏิคฺคาหเกน มตฺตา ชานิตพฺพา ความว่า บุคคลผู้เป็นปฏิคาหก พึงรู้ประมาณ. พึงรู้อย่างไร. คือ เมื่อจะรับ ต้องรู้อำนาจของผู้ให้ ต้องรู้อำนาจ (ความมากน้อย) ของไทยธรรม ต้องรู้กำลังของตน. ก็ถ้าไทยธรรมมีมาก ผู้ให้ต้องการให้น้อยไซร้ ควรรับเอาแต่น้อยตามอำนาจของผู้ให้. ไทยธรรมมีน้อย ผู้ให้ต้องการให้มาก ควรรับเอาแต่น้อยตามอำนาจของไทยธรรม. แม้ไทยธรรมก็มาก แม้ผู้ให้


ความคิดเห็น 9    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 30 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาคที่ ๒ - หน้า 199

ก็ต้องการจะให้มาก ปฏิคาหกควรรู้กำลังของตนแล้วรับเอาพอประมาณ ก็เมื่อรู้ประมาณอย่างนี้แล้วรับเอา ย่อมทำปฏิปทาคือความมักน้อยให้เต็มบริบูรณ์. ลาภย่อมเกิดขึ้นแก่บุคคลผู้ไม่เคยมีลาภเกิดขึ้นแล้ว ลาภที่เกิดขึ้นแล้วย่อมอยู่มั่นคง. บุคคลผู้ที่ยังไม่เลื่อมใสก็เลื่อมใส บุคคลผู้ที่เลื่อมใสแล้วก็เลื่อมใสยิ่งขึ้น เป็นประหนึ่งบุคคลผู้เป็นที่สนใจของมหาชน กระทำพระศาสนาให้ดำรงอยู่ตลอดกาลนาน. ในข้อนั้น มีเรื่องต่อไปนี้เป็นตัวอย่าง :-

ได้ยินว่า ในโรหนชนบท มีภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งอยู่ในกุฬุมริยวิหาร ในสมัยที่ภิกษาหายาก (ท่าน) รับภัตตาหารทัพพีเดียวเพื่อฉันในเรือนของนายลัมพกัณณ์ (กรรมกร) คนหนึ่งในบ้านนั้น แล้วรับภัตตาหารอีกทัพพีหนึ่งเท่านั้นเพื่อจะไป. วันหนึ่ง ท่านได้เห็นพระภิกษุอาคันตุกะรูปหนึ่งในเรือนนั้น จึงรับเอาภัตตาหารทัพพีเดียวเท่านั้น. เพราะเหตุนั้น ต่อมาภายหลัง กุลบุตรผู้นั้นเลื่อมใสท่าน จึงบอกแก่พวกมิตรอำมาตย์ที่ประตูพระราชวังว่า พระประจำสกุลของเรา เป็นผู้ชื่อว่ามักน้อยเห็นปานนี้. มิตรอำมาตย์แม้ทั้งปวงเหล่านั้นก็เลื่อมใสในคุณคือความมักน้อยของท่าน ต่างพากันตั้งภัตตาหารประจำ ๖๐ ที่ เฉพาะวันหนึ่งๆ. ภิกษุผู้มักน้อยเป็นธรรมดาอย่างนี้แล ย่อมยังลาภที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น.

แม้พระเจ้าสัทธาติสสมหาราช ทรงให้ติสสอำมาตย์ ผู้เป็นคนอุปัฏฐากใกล้ชิดไปสอบสวน ทรงให้เขาปิ้งนกกระทาตัวหนึ่งมาให้. เมื่อติสสอำมาตย์ทำอย่างนั้นแล้ว ครั้นเวลาจะเสวยจึงตรัสว่า เราให้ส่วนที่เลิศแล้วจึงจักบริโภค จึงให้ประทานเนื้อนกกระทาแก่สามเณรผู้ถือสิ่งของของพระมหาเถระใกล้บริเวณกัสสัตถศาลา เมื่อท่านรับเอาแต่น้อย ก็


ความคิดเห็น 10    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 30 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาคที่ ๒ - หน้า 200

เลื่อมใสในคุณคือความมักน้อยของท่าน จึงตรัสว่า ดูก่อนพ่อ โยมเลื่อมใส ขอถวายภัตตาหารประจำ ๘ ที่แก่ท่าน. สามเณรทูลว่า มหาบพิตร ภัตตาหารประจำเหล่านั้น อาตมาถวายอุปัชฌาย์.

พระราชาตรัสว่า โยมถวายอีก ๘ ที่. สามเณรทูลว่า ภัตตาหาร ๘ ที่นั้น อาตมาขอถวายอาจารย์ของอาตมา.

พระราชาตรัสว่า โยมถวายอีก ๘ ที่. สามเณรทูลว่า อาตมาถวายภัตตาหาร ๘ ที่นั้น แก่ท่านผู้เสมอด้วยอุปัชฌาย์.

พระราชาตรัสว่า โยมถวายอีก ๘ ที่ สามเณรทูลว่า อาตมาถวายภัตตาหาร ๘ ที่นั้น แก่ภิกษุสงฆ์.

พระราชาตรัสว่า โยมถวายภัตตาหารแม้อีก ๘ ที่. สามเณรนั้นจึงรับเอา. ลาภอันเกิดขึ้นแก่สามเณรนั้น ย่อมเป็นลาภมั่นคงด้วยประการอย่างนี้.

แม้ในบทว่า อปฺปสนฺนา ปสีทนฺติ นี้ ก็มีตัวอย่างดังต่อไปนี้ :-

ทีฆพราหมณ์ นิมนต์พราหมณ์ทั้งหลายมาฉัน ได้ถวายภัตตาหารทีละ ๕ ขันก็ไม่อาจให้อิ่มหนำ. อยู่มาวันหนึ่งได้ฟังถ้อยคำว่า ว่ากันว่า พวกพระสมณะเป็นผู้มักน้อย เพื่อจะทดลอง จึงให้คนถือภัตตาหารไปยังวิหารในเวลาที่พระภิกษุสงฆ์ทำภัตกิจ เห็นภิกษุประมาณ ๓๐ รูป ฉันอยู่บนหอฉัน จึงถือเอาภัตตาหารขันหนึ่งไปยังที่ใกล้พระสังฆเถระ. พระเถระได้ใช้นิ้วมือหยิบเอาหน่อยหนึ่ง. โดยทำนองนี้นั่นแล ภัตตาหารขันเดียวได้ทั่วถึงแก่ภิกษุหมดทุกรูป. แต่นั้น พราหมณ์เลื่อมใสในความมักน้อยว่า ได้ยินว่า พระสมณะเหล่านี้มีคุณทุกอย่างทีเดียว จึงสละทรัพย์


ความคิดเห็น 11    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 30 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาคที่ ๒ - หน้า 201

พันหนึ่ง สร้างพระเจดีย์ไว้ในวิหารนั้นนั่นแล. ผู้ที่ยังไม่เลื่อมใส ย่อมเลื่อมใสด้วยประการอย่างนี้.

ในบทว่า ปสนฺนา ภิยฺโย ปสีทนฺติ นี้ กิจเนื่องด้วยเรื่องราว (ที่จะนำมาสาธก) ไม่มี. ก็เพราะเห็นความมักน้อย ความเลื่อมใสย่อมเจริญยิ่งทีเดียวแก่ผู้ที่เลื่อมใสแล้ว.

ก็มหาชนได้เห็นคนผู้มักน้อยเช่นพระมัชฌันติกติสสเถระเป็นต้น ย่อมสำคัญที่จะเป็นผู้มักน้อย (ตามอย่าง) บ้าง เพราะเหตุนั้น ผู้มักน้อยจึงชื่อว่าเป็นที่สนใจของมหาชน. อนึ่ง ผู้มักน้อย ชื่อว่าย่อมกระทำพระศาสนาให้ตั้งมั่นอยู่ได้นาน เพราะพระบาลีว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความมักน้อย ย่อมเป็นไปเพื่อความตั้งมั่น เพื่อความไม่ฟั่นเฟือน เพื่อความไม่อันตรธานแห่งพระสัทธรรม ดังนี้.

บทว่า โน ทายเกน ความว่า ก็ในพระธรรมวินัยที่ตรัสไว้ดีแล้ว ชื่อว่ากิจที่จะต้องรู้ประมาณแล้วจึงให้ ย่อมไม่มีแก่ทายก. ไทยธรรมประมาณเท่าใดมีอยู่ ควรให้ไม่เกินประมาณเท่านั้น. ก็ทายกผู้ให้นี้ ย่อมได้สิ่งที่ประณีตยิ่งๆ ขึ้น ไม่เกินมนุษยสมบัติ และทิพยสมบัติ เพราะเหตุที่ให้จนเกินประมาณ.

บทว่า โย อารทฺธวีริโย โส ทุกฺขํ วิหรติ ความว่า ผู้ประกอบเนืองๆ ซึ่งวัตรมีการทำให้เร่าร้อนด้วยความร้อน ๕ แห่ง การทำความเพียรด้วยการหมกในหลุมทราย การพลิกไปมาในแสงพระอาทิตย์ (คือนอนกลางแดด) เพราะความเพียรในการนั่งกระหย่งเป็นต้น ย่อมอยู่เป็นทุกข์ในปัจจุบัน. เมื่อคนผู้นั้นนั่นแหละสมาทาน (วัตร) ในลัทธิ


ความคิดเห็น 12    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 30 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาคที่ ๒ - หน้า 202

ภายนอกพระศาสนา (เขา) เกิดในนรกด้วยวิบากของการประพฤติตบะนั้น ชื่อว่าย่อมอยู่เป็นทุกข์ในสัมปรายภพ.

บทว่า โย กุสีโต โส ทุกขํ วิหรติ ความว่า แม้คนผู้เกียจคร้านนี้ ก็อยู่เป็นทุกข์ทั้งในปัจจุบันและสัมปรายภพ.

ถามว่า อยู่เป็นทุกข์อย่างไร. ตอบว่า บุคคลใด จำเดิมแต่บวชมา ไม่มีการใส่ใจโดยแยบคาย ไม่เรียนพระพุทธวจนะ ไม่กระทำอาจริยวัตรและอุปัชฌายวัตร ไม่กระทำวัตร (คือการปัดกวาด) ลานพระเจดีย์และลานโพธิ์. บริโภคศรัทธาไทย (ของที่เขาให้ด้วยศรัทธา) ของมหาชน ด้วยการไม่พิจารณา ประกอบเนืองๆ ซึ่งความสบายในการนอนตลอดวัน ในเวลาตื่นขึ้นมาก็ตรึกด้วยวิตก ๓ ประการ (คือกามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก) บุคคลนั้น ย่อมเคลื่อนจากภิกษุภาวะ ความเป็นภิกษุ โดย ๒ - ๓ วันเท่านั้น. ชื่อว่าอยู่เป็นทุกข์ในปัจจุบัน ด้วยประการอย่างนี้. และก็เพราะบวชแล้วไม่กระทำสมณธรรมโดยชอบ

กุโส ยถา ทุคฺคหิโต

หตฺถเมวานุกนฺตติ

สามญฺํ ทุปฺปรามฏฺํ

นิรยายูปกฑฺฒตีติ.

แปลความว่า

คุณเครื่องเป็นสมณะ (พรหมจรรย์) ที่บุคคลจับต้องไม่ดี ย่อมคร่าไปนรก เหมือนหญ้าคาที่บุคคลจับไม่แน่น (แล้วดึงมา) ย่อมบาดมือนั่นแหละ ฉะนั้น.

เขาย่อมถือปฏิสนธิในอบายทีเดียว ชื่อว่าย่อมอยู่เป็นทุกข์ในสัมปรายภพ ด้วยประการอย่างนี้.


ความคิดเห็น 13    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 30 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาคที่ ๒ - หน้า 203

บทว่า โย กุสีโต โส สุขํ วิหรติ ความว่า บุคคลกระทำการประพฤติตบะอะไรๆ ในการประพฤติตบะ ซึ่งมีประการดังกล่าวแล้วตามเวลา นุ่งผ้าขาว ทัดทรงดอกไม้ และลูบไล้ของหอม บริโภคโภชนะที่อร่อย นอนบนที่นอนอันอ่อนนุ่มตามเวลา ย่อมอยู่เป็นสุขในปัจจุบันและสัมปรายภพ. ก็เพราะเขาไม่ยึดมั่นการประพฤติตบะนั้น จึงไม่เสวยทุกข์ในนรกมากยิ่ง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าอยู่เป็นสุขในสัมปรายภพ.

บทว่า โย อารทฺธวีริโย โส สุขํ วิหรติ ความว่า บุคคลปรารภความเพียรจำเดิมแต่กาลที่ได้บวชมา ย่อมกระทำให้บริบูรณ์ในวัตรทั้งหลาย เรียนเอาพระพุทธพจน์ กระทำกรรมในโยนิโสมนสิการ ครั้นเมื่อเขานึกถึงการบำเพ็ญวัตร การเล่าเรียนพระพุทธพจน์ และการทำสมณธรรม จิตย่อมเลื่อมใส เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน ด้วยประการฉะนี้. แต่เมื่อไม่อาจบรรลุพระอรหัตในปัจจุบัน ย่อมจะเป็นผู้ตรัสรู้เร็วในภพที่เกิด เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่าอยู่เป็นสุขแม้ในสัมปรายภพ.

พระสูตรนี้ มีคำเป็นต้นว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คูถแม้มีจำนวนน้อยก็มีกลิ่นเหม็น แม้ฉันใด ดังนี้ ตรัสไว้เพราะอัตถุปปัตติ เหตุเกิดเรื่อง.

ถามว่า เหตุเกิดเรื่องไหน. ตอบว่า เหตุเกิดเรื่องแห่งสตุปปาทสูตรในนวกนิบาต. จริงอยู่ พระตถาคต เมื่อจะตรัสเรื่องนั้น ได้ตรัสว่า บุคคล ๙ จำพวก พ้นจากนรก พ้นจากกำเนิดสัตว์เดียรัจฉาน พ้นจากเปรตวิสัย ดังนี้เป็นต้น. ครั้งนั้น พระตถาคตมีพระดำริว่า ก็ถ้าบุตรของเราฟังธรรมเทศนานี้แล้วสำคัญว่า พวกเราเป็นผู้สิ้นนรก สิ้นกำเนิดสัตว์เดียรัจฉาน สิ้นเปรตวิสัย สิ้นอบาย ทุคติ วินิบาตแล้ว ก็จะไม่พึงสำคัญที่จะ


ความคิดเห็น 14    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 30 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาคที่ ๒ - หน้า 204

พยายามเพื่อมรรคผลสูงๆ ขึ้นไป เราจักทำความสังเวชให้เกิดแก่บุตรของเราเหล่านั้น ดังนี้แล้ว จึงทรงเริ่มพระสูตรนี้ว่า เสยฺยถาปิ ภิกฺขเว ดังนี้เป็นต้น เพื่อจะให้เกิดสังเวช. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อปฺปมตฺตโก แปลว่า มีประมาณหน่อยหนึ่ง คือ มีประมาณน้อย. คูถนั้น ชั้นที่สุดแม้แต่ปลายใบหญ้าคาแตะแล้วดม กลิ่นก็เหม็นอยู่นั่นแหละ. บทว่า อปฺปมตฺตกํปิ ภวํ น วณฺเณมิ ความว่า เราไม่สรรเสริญการถือปฏิสนธิในภพชั่วกาลเวลาเล็กน้อย. บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงการเปรียบเทียบกาลเวลานั้น จึงตรัสว่า โดยชั้นที่สุดแม้ชั่วกาลเวลาลัดนิ้วมือ ดังนี้. ในคำนี้ ท่านอธิบายว่า ชั่วกาลเวลาแม้สักว่าเอานิ้ว ๒ นิ้วมารวมกันแล้วก็ดีดแยกออก เป็นกำหนดอย่างต่ำที่สุด. คำที่เหลือในที่ทุกแห่ง มีความง่ายทั้งนั้นแล.

จบอรรถกถาวรรคที่ ๓