ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อวันพุธ ที่ ๒๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖ ที่ผ่านมา
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
และ คณะวิทยากรของมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
ได้รับเชิญจาก
สมาชิก ชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ราชบุรี (ชาวกุรุน้อย ราชบุรี)
โดย อาจารย์ธนิต ชื่นสกุล
และ พลตรีหญิง นันทา เกษหอม, คุณลักษณา แดงด้อมยุทธ์,
คุณวรินนภัส คุณฐิติพรชัย สินสมุทรธาวิน,คุณปุณิกา แสงสว่าง,คุณสุรินทร์ รสหวาน,
คุณสุนีย์ ธาราเจริญชัย และ ทันตแพทย์หญิงวิภากร พงศ์วรานนท์
เพื่อไปสนทนาธรรม ณ บ้านเรือนไทยสินสมุทร ตำบลบ้านไร่ อำเภอเมือง ราชบุรี
ระหว่างเวลา ๑๐.๐๐ - ๑๕.๐๐ น.
ข้าพเจ้าออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ราวๆ เจ็ดโมงเช้า โดยขับรถไปทางถนนเพชรเกษม
ผ่านจังหวัดนครปฐม ก่อนเข้าตัวเมืองราชบุรี ก็จอดรถหยิบแผนที่ขึ้นมาดู
ตามประกาศเชิญ ที่พี่แดงลงไว้ บอกว่าเป็นเรือนไทย ในใจก็คิดถึงบ้านเรือนไทย
ที่มีหลังคาแหลมๆ และคงจะเห็นหลังคาได้จากถนน ตามแผนที่ที่ระบุไว้ว่าอยู่ติดถนน
ตลอดระยะทาง ก็นึกภาพไปต่างๆ ในใจก็คิดว่า เดี๋ยวรู้เอง ว่าจะเป็นอย่างไร
เมื่อไปถึงเข้าจริงๆ ก็พบกับเรือนไทยประยุกต์หลังงาม ใหญ่โตมาก ปลูกอยู่ด้านใน
หันหน้าบ้านไปทางแม่น้ำราชบุรี สร้างด้วยไม้สักทองทั้งหลัง มีเสาที่ทำจากซุงทั้งต้น
ทำให้ได้คิดพิจารณา มั่นคงขึ้นว่า สิ่งที่คิด ก็เป็นเพียง "คิด" ที่เกิดขึ้น เท่านั้น
"คิด" มีจริงๆ แต่สิ่งที่จะได้เห็น อาจจะไม่เป็นอย่างที่คิดเลย
เมื่อเริ่มเข้าใจ มั่นคงขึ้น ในสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นปรากฏ เป็นไป ตามเหตุตามปัจจัย
ย่อมเป็นผู้ที่ไม่เดือดร้อน ติดข้อง คาดหวัง ในสิ่งต่างๆ ที่ยังไม่มาถึง
เพราะรู้ว่า ทุกสิ่ง ย่อมเกิดขึ้นเป็นไป ตามเหตุ ตามปัจจัย
ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ทั้งสิ้น
การได้เห็นสิ่งที่ดี ได้กลิ่นดี ลิ้มรสอาหารที่ดี กระทบสัมผัสที่สบาย มีความคิดนึกที่ดี
ย่อมเป็นผลมาจากการสะสมความดีในอดีตชาติมาแล้ว แน่นอนที่สุด
แม้การได้มาฟังพระธรรม ก็เป็นผลมาจากเหตุคือ บุญที่ได้กระทำไว้แต่ปางก่อน โดยแท้
เมื่อมั่นคงขึ้นจากความเข้าใจพระธรรม ย่อมเป็นผู้ที่น้อมไปในการทำดีทุกประการ ทุกเมื่อ
ทราบจากท่านที่ดูแลบ้านว่า บ้านหลังนี้ เป็นบ้านของคุณปู่แฉล้ม คุณย่าละออ สินสมุทร
ซึ่งทั้งสองท่านเพิ่งถึงแก่กรรมไป เมื่อไม่นานมานี้เอง ในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน
ท่านเจ้าบ้านคนปัจจุบัน คือ คุณฐิติพรชัย และ คุณวรินนภัส สินสมุทรธาวิน (คุณจู)
ซึ่งฟังการบรรยายจากท่านอาจารย์มานานหลายสิบปีแล้ว ได้กรุณาให้ใช้บ้านหลังนี้
เป็นที่สนทนาธรรม ในวันนี้ ซึ่งมีบริเวณบ้านกว้างขวาง ทอดยาวไปตามลำน้ำราชบุรี
มีการจัดเตรียมสถานที่ สำหรับการสนทนาธรรมไว้อย่างประณีต สวยงาม เรียบร้อย
ทราบจากคุณฐิติพรชัย และ คุณวรินนภัส ว่า ได้จัดเก้าอี้สีน้ำเงินที่นั่งฟังสนทนาธรรมไว้
จำนวน สองร้อยตัว เท่าที่เห็นคือเต็มทุกที่นั่ง ทั้งนี้ ไม่รวมที่นั่งม้าหินและที่อื่นๆ โดยรอบ
จำนวนผู้เข้าร่วมฟังการสนทนาธรรมในวันนี้ จึงมีร่วมๆ สองร้อยห้าสิบท่าน ทีเดียว
นอกจากการจัดเตรียมสถานที่สำหรับการสนทนาธรรม และ ที่รับประทานอาหาร
ซึ่งได้กางเต้นท์และจัดโต๊ะสำหรับรับประทานอาหารไว้อย่างสวยงาม ริมแม่น้ำราชบุรีแล้ว
ท่านเจ้าภาพ ได้จัดซุ้มอาหารและเครื่องดื่มนานาชนิด ไว้บริการอย่างอลังการพร้อมมูล
ให้ทุกท่านได้รับประทานกันอย่างเต็มที่ ข้าพเจ้าขอกราบอนุโมทนาท่านเจ้าภาพด้วยครับ
[เล่มที่ 22] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๑ หน้าที่ ๑๘๙
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
สัตบุรุษย่อมให้ทานอย่างสัตบุรุษอย่างไร คือ สัตบุรุษในโลกนี้ ย่อมให้ทานโดยเคารพ ทำความอ่อนน้อมให้ทานให้ทานอย่างบริสุทธิ์ เป็นผู้มีความเห็นว่ามีผล จึงให้ทาน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล สัตบุรุษชื่อว่าย่อมให้ทานอย่างสัตบุรุษ.
อันดับต่อไป ขออนุญาตนำความการสนทนาธรรม ซึ่งเป็นจุดประสงค์ ที่สำคัญที่สุด
ของการเดินทางไปในวันนั้น มาฝากให้ทุกๆ ท่าน ได้พิจารณา
อนึ่ง ในตอนบ่ายใกล้ที่จะสิ้นสุดเวลาการสนทนาธรรม ได้มีฝนตกลงมาอย่างหนัก
แต่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการสนทนาธรรมเลย ทุกๆ ท่านหลบฝนที่สาดเข้าภายในเต้นท์
ด้วยการเข้าไปนั่งล้อมวง สนทนากับท่านอาจารย์ ซึ่งท่านเมตตาอย่างยิ่งในการสนทนา
นอกจากที่ทุกท่านจะได้เห็นภาพแห่งความประทับใจไม่รู้ลืม ในวันนั้นแล้ว
ความการสนทนาในช่วงนี้ ก็มีความไพเราะจับใจทุกท่านเป็นอย่างยิ่ง
เป็น ณ กาลครั้งหนึ่ง ในสังสารวัฏฏ์ ของกลุ่มบุคคล ที่ได้สะสมบุญไว้แต่ปางก่อน โดยแท้
ท่านผู้ฟัง เมื่อคืนนี้ ดิฉันได้ไปสนทนาธรรม ที่บ้านคุณน้าธนิตและคุณน้าธนิต ให้ชีทมา
เมื่ออ่านแล้ว ก็ต้องการความเข้าใจเพิ่มขึ้น ชีทหัวข้อว่า ธรรมะเป็นเรื่องละเอียด
และ ข้อความที่ว่า ธัมมสวนมัย ทำบุญด้วยการฟังธรรม และ คุณน้าก็บอกว่า
ศึกษาธรรมะ ให้ศึกษาทีละคำ เช่น "บุญ" คือ อะไร? "ฟัง" คือ อะไร? "ธรรมะ" คือ อะไร?
ตรงนี้ ก็อยากจะให้อาจารย์สุจินต์ นะคะ ช่วยกรุณาอธิบายให้ฟัง ให้แจ่มแจ้ง ค่ะ
ท่านอาจารย์ คงไม่ลืม นะคะ ที่ทุกคน จะเข้าใจความหมาย ของคำว่า
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
"ทุกคำ" ที่ได้ทรงแสดง จากพระโอษฐ์ เป็นสิ่งซึ่ง ไม่มีใคร เคยรู้มาก่อน
แม้ว่า สภาพธรรมะ จะมีจริง เช่น เดี๋ยวนี้
แต่ก็ไม่มีใครที่จะเคยรู้มาก่อน ว่า "สิ่งนั้น" คือ อะไร?
แต่ต้องอาศัยพระธรรม ที่ทรงแสดง ซึ่งละเอียด ลึกซึ้ง
เช่น ขณะนี้ มีสิ่งที่เราคุ้นเคย คือ "เห็น" แล้วก็ "ได้ยิน"
แต่ ใครจะรู้ความลึกซึ้งของสิ่งที่มีเป็นปรกติ ตั้งแต่เกิดจนตาย
ทุกชาติ มีการเกิดแล้วก็ตาย แล้วก็เกิดแล้วก็ตาย ด้วยความไม่รู้ มาแสนนาน
เพราะฉะนั้น ลึกซึ้ง และ แต่ละคำ ต้องเข้าใจ จริงๆ
มิฉะนั้นแล้ว ก็ไม่สามารถที่จะเข้าถึงความหมาย ซึ่งพระผู้มีพระภาค ทรงแสดง
เพราะคิดว่า ชาวบ้าน หรือ คนธรรมดา
ก็สามารถที่จะฟัง แล้วก็ "คิดเอง" แล้วก็ "เข้าใจเอง"
แต่นั่น ไม่ถูก และ ไม่พอ
เพราะเหตุว่า ถ้าเป็นอย่างนั้น ไม่ต้องอาศัยการทรงบำเพ็ญพระบารมี
จนกระทั่ง สามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่มีในขณะนี้
และ ทรงแสดงว่า สิ่งที่มีจริงนี่แหละ เป็นสิ่งซึ่งสามารถที่จะรู้ความจริงจนถึงที่สุด ได้
ไม่ใช่เพียงเผินๆ ว่า ขณะนี้ เห็นมีจริง เท่านั้นไม่พอ
แต่ว่า เมื่อกล่าวถึง "เห็น" ก็จะมีความเข้าใจที่ถูกต้อง จากการ "ฟัง" ทีละเล็ก ทีละน้อย
และ รู้ได้เลยว่า ยากไหม? ในการที่ สิ่งที่เพียงกำลังมี กำลังปรากฏ ในขณะนี้
แต่ต้องทรงบำเพ็ญบารมี อย่างเร็ว นะคะ สี่อสงไขย แสนกัปป์
หลังจากที่ได้รับพยากรณ์ จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง
เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ "ทุกคำ" กล่าวถึง สิ่งที่กำลังมี ในขณะนี้ ลึกซึ้งอย่างยิ่ง
เพื่อที่จะได้ ไม่ประมาท
และ คิดว่า การศึกษาธรรมะ เผินๆ ครึ่งๆ กลางๆ นิดๆ หน่อยๆ
แล้วจะเข้าใจความหมาย ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงด้วยพระองค์เอง
เพราะฉะนั้น นี่เป็นความลึกซึ้ง
เห็นความลึกซึ้งหรือยังคะ?
เดี๋ยวนี้ ทุกอย่าง ที่มีในขณะนี้ ลึกซึ้งอย่างยิ่ง
เพราะเหตุว่า ถ้าได้เข้าใจถูกต้องว่า
ขณะนี้ สิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็ตาม
ที่ปรากฏ เพราะ เกิดขึ้น
คือ "ทุกคำ" ที่ได้ยิน ได้ฟัง ต้องไตร่ตรอง
จนกระทั่ง เป็นปัญญา ความเห็นถูก ของบุคคลนั้นเอง
ไม่ใช่ว่า ฟังแล้วเชื่อ
แต่ต้อง ฟัง ไตร่ตรอง จนกระทั่ง เป็นความเข้าใจถูก ของตนเอง
จึงจะเป็นผู้ที่ได้รับมรดกจากพระธรรม
ที่ทรงมุ่งหวัง ที่จะให้คนที่ได้ฟัง มีความเห็นถูก มีความเข้าใจถูก
ในสิ่งที่มีจริง ในชีวิตประจำวัน
เพราะฉะนั้น "เห็น" ขณะนี้ "เกิด"
ลึกซึ้งมาก ค่ะ
ไม่มีใครเห็นการเกิด
แต่ว่า เห็นว่า "เห็น" มี ในขณะนี้ และ "เห็น" ที่เกิดแล้ว ก็ "ดับไป"
ถ้อยคำ ทุกคำ ที่ได้ยิน จะต้องตรงกัน ตั้งแต่ต้น จนถึงที่สุด
เช่น สิ่งหนึ่ง สิ่งใดก็ตาม ที่มีความเกิดขึ้น เป็นธรรมดา สิ่งนั้น มีความดับไป เป็นธรรมดา
ฟังแล้ว ดูธรรมดามาก
แต่ความลึกซึ้ง อยู่ที่ว่า ไม่ใช่เพียงฟังเข้าใจ
แต่จะต้องสามารถ "เห็นถูก" จนกระทั่ง "ประจักษ์" ความจริง
ว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ในขณะนี้ ที่เกิดขึ้น..ปรากฏ...
สิ่งนั้น...ดับ...เร็วมากด้วย...
เพราะฉะนั้น กว่าจะได้ "ไตร่ตรอง" แล้วก็ "เข้าใจ" ความหมายของธรรมะ
ก็จะรู้ได้ว่า
เป็นสิ่งซึ่ง แสนยาก
ที่จะฟัง ด้วยความนอบน้อม เคารพอย่างยิ่ง
ว่ากำลังทรงแสดงความจริง ของสิ่งที่มีจริง ซึ่งสามารถที่จะรู้ได้
แต่ต้องเป็นการอบรม ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก
ตั้งแต่ขั้นต้น
ท่านผู้ฟัง ขอบพระคุณมากค่ะ
เพราะว่าแต่ก่อน ไม่ได้มาฟัง ก็รู้สึกว่า อะไรๆ ก็จะรู้ไปหมด
แต่พอยิ่งมาฟัง ก็เหมือนว่า ตัวเองไม่รู้อะไรเลย คือ ไม่ได้รู้จริงๆ
ก็ค่อยๆ มาเริ่มรู้ขึ้น แล้วก็ยินดีกับตัวเอง แล้วก็ยินดีกับทุกท่าน ที่ได้มีโอกาสมาฟัง
สิ่งที่เป็นความจริง ได้มีโอกาสมาฟังพระธรรมที่ถูกต้อง แล้วก็ให้เรามีความเห็นถูกด้วยค่ะ
ท่านอาจารย์ ค่ะ ทุกคำ น่าคิด นะคะ "รู้ไปหมด" ก่อนนี้ "รู้ไปหมด"
ไม่ทราบว่า "รู้อะไรหมด?"
ท่านผู้ฟัง แต่ก่อน ก็เหมือนว่า ตัวเอง รู้ทุกอย่างค่ะ อะไรก็รู้
ฟังปุ๊บ รู้ ฟังปุ๊บ เข้าใจ แต่รู้เป็นเรื่องเป็นราวค่ะ
ท่านอาจารย์ ค่ะ ซึ่งความจริง คือ ความไม่รู้ ใช่ไม๊คะ? ที่เข้าใจว่ารู้
ท่านผู้ฟัง ใช่ค่ะ กราบขอบพระคุณค่ะ
คุณคำปั่น มีคำถามกราบเรียนถามท่านอาจารย์ต่อเนื่องนะครับ ว่า
ที่กล่าวว่า จะละคลายการยึดถือสภาพธรรมะ ว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล
ก็ด้วยความเข้าใจ ที่ค่อยๆ เจริญขึ้น ค่อยๆ เพิ่มขึ้น
แต่ก็ดูเหมือนว่า ความเห็นผิด ที่ยึดถือสภาพธรรมะ ว่าเป็นตัวตนนั้น
ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอด แต่ว่า ก็มีข้อความธรรมะ ที่กล่าวอยู่เสมอๆ ว่า
การที่จะละคลายการยึดถือสภาพธรรมะ ว่าเป็นตัวตนได้นั้น
ก็ต่อเมื่อ มีความเข้าใจที่ค่อยๆ เจริญขึ้นไปตามลำดับ
ก็จะกราบเรียนท่านอาจารย์ ในความลึกซึ้งของพระธรรม ครับ
ท่านอาจารย์ ก่อนอื่น นะคะ ทำไมจะละคลาย?
คุณคำปั่น สิ่งที่ไม่ดีครับท่านอาจารย์ครับ
เพราะว่า ความเห็นผิด ที่ยึดถือสภาพธรรมะ ว่าเป็นตัวตน ก็เป็นอกุศลธรรม
ที่ควรจะได้รู้ แล้วก็ได้ขัดเกลา ละคลายด้วยครับ
ท่านอาจารย์ ค่ะ ต้องมีปัญญาก่อน ใช่ไม๊คะ? ที่จะรู้ว่า สิ่งนั้น เป็นอะไร?
ถูก หรือ ผิด
แล้วจึงจะละคลาย สิ่งที่ผิด
มิฉะนั้น ก็อาจจะไปละคลายอะไรก็ไม่รู้
ด้วยเหตุนี้ ทั้งหมด ต้องเป็นเรื่องของปัญญา จริงๆ
ต้องไม่ลืมว่า คำสอน ทุกคำ ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
เป็นเรื่องของการ ให้มีความเข้าใจถูก มีความเห็นถูก
ในสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ
เพราะฉะนั้น จะละคลาย อะไร?
บางคนก็บอกว่า อยากจะละคลาย ความโกรธ มาอันดับหนึ่งเลย ไม่ชอบ
แต่ว่า ละคลาย ความติดข้อง เคยคิดไหม?
ไม่เคย
ละคลาย การที่ยึดถือสภาพธรรมะ ว่าเป็นเรา
ซึ่งสภาพธรรมะ จากการฟังแล้ว ก็เข้าใจว่า ไม่ใช่เรา
เพราะฉะนั้น การยึดถือสภาพธรรมะ ที่ไม่ใช่เรา ว่าเป็นเรา
เป็นความเห็น ที่ไม่ถูกต้อง
เป็นความเห็นผิด
เพราะฉะนั้น เมื่อมีปัญญา ที่รู้ความจริงว่า
เมื่อธรรมะที่มีขณะนี้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเห็น ไม่ว่าจะคิด ไม่ว่าจะเป็นสภาพธรรมะใดๆ ก็ตาม
ทั้งหมด มีปัจจัยเกิด แล้วดับไป
จึงไม่ใช่เรา
ก็จะละคลาย ความไม่รู้ ที่ยึดถือสภาพธรรมะ ว่าเป็นเรา
ซึ่ง ถ้าไม่มีการละคลายการยึดถือสภาพธรรมะ ว่าเป็นเรา กิเลสใดๆ ก็ดับไม่ได้เลย
ขึ้นชื่อว่ากิเลส ใครชอบ?
ไม่ชอบ "ชื่อ" แต่มีชีวิตอยู่ กับ กิเลส เสมอ ตั้งแต่เช้า
เช่น ความติดข้อง พอใจ ในสิ่งที่ปรากฏให้เห็นทางตา ในเสียง ที่ได้ยิน
ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่มี ให้รู้ เป็นการติดข้อง ในสิ่งที่ปรากฏ
มิฉะนั้น จะไปติดข้อง ในอะไร? จะไปยึดถืออะไร?
ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ให้ยึดถือ
เพราะฉะนั้น สิ่งที่มี ขณะนี้ เกิดแล้ว
เพราะไม่รู้ จึงยึดถือ และ ติดข้อง ว่าเป็นเรา
ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้ จริงๆ ค่อยๆ น้อมไป ที่จะคลาย
แต่ที่จะให้หมดไปเลย ก็ยังคงเป็นเรานั่นแหละ ที่ต้องการให้หมด
ไม่ใช่เป็นการเข้าใจจริงๆ โดยความถูกต้อง ว่า เป็นธรรมะ
เพราะฉะนั้น การละคลาย ไม่ใช่ด้วยความเป็นเรา ที่อยากจะคลาย
อยากจะไม่มีโลภะ ไม่มีโทสะ ไม่มีกิเลส
แต่ต้องเป็นธรรมะ ที่มีความเห็นถูก และ ความเห็นถูกนี้ ก็จะรู้ว่า
ตราบใดที่ยังไม่รู้ความจริง ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมะที่ปรากฏ
ไม่มีทางจะคลายเลย
ไม่มีหนทางอื่นเลย
ไม่มีความเป็นตัวตน ที่จะไปคลาย การยึดถือสภาพธรรมะ ได้
นอกจาก เริ่มรู้ว่า เป็นเพียง "สิ่งหนึ่ง" ที่กำลังปรากฏ
สั้นมาก แล้วก็หมดไป
เพราะฉะนั้น เมื่อผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ ทรงแสดงความจริง อย่างนี้
แล้วผู้ที่ยังไม่รู้ จะรู้อย่างนั้น
ก็ต้อง ค่อยๆ เข้าใจขึ้น
คุณคำปั่น ครับ จะรู้ตามความเป็นจริง ก็ด้วยความเข้าใจ ที่ค่อยๆ เจริญขึ้น
เมื่อสักครู่ ท่านอาจารย์กล่าวถึงว่า "น้อมไป" ครับท่านอาจารย์ครับ
"ลักษณะ" ของความ "น้อมไป" จะเป็นลักษณะอย่างไรครับ ท่านอาจารย์ครับ?
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เรา แน่นอน
แต่ตราบใดที่มีเรา เหมือนเราพยายามจะค่อยๆ น้อมไป นะคะ
แต่ ขณะที่กำลังฟังนี่แหละ "เรา" หรือเปล่า?
หรือว่า จิต และ เจตสิก ซึ่งเกิดขึ้น ทำงาน ไม่หยุดเลย
เกิดแล้ว ก็ดับไป แล้วก็เกิดขึ้น สืบต่อ แล้วก็ดับไป แล้วก็เกิดขึ้น สืบต่อ แล้วก็ดับไป
"ไม่มีเรา" ที่จะไปคลาย
แต่ ความเข้าใจ จากการที่ได้ยิน ได้ฟัง แล้วไม่ลืมด้วย
เมื่อกี้นี้ ก็ลืมไปแล้ว หลงลืมไปเรื่อยๆ
ฟังไป ลืมไป
แต่ว่า พอฟังใหม่ ก็เริ่มเข้าใจใหม่
เพราะฉะนั้น จึงขาดการฟัง ไม่ได้เลย
ว่า ขณะนี้ "ฟัง" เพื่อให้ถึงความเข้าใจ ที่มั่นคง
ว่าขณะนี้ เป็นสิ่งที่มีจริง เกิดขึ้น แล้วก็ ดับไป
ไม่ใช่เราคลาย และ ไม่ใช่ เราน้อมไป
แต่ ฟังบ่อยๆ
น้อมไป ที่จะรู้ว่า ความจริงเป็นอย่างนี้ ไม่เป็นอย่างอื่น
ใครรู้บ้าง? ว่า ขณะนี้เอง กำลังน้อม
ไม่ใช่เรา จะไปน้อม
แต่ กำลังฟัง ค่อยๆ เข้าใจขึ้น
ก็น้อมไปสู่ การที่จะรู้ความจริง ว่า เป็นธรรมะ
เพราะฉะนั้น
ทุกขณะ ที่เข้าใจขึ้น ก็เป็นการ น้อมไปสู่ การรู้ความจริง
...พระธรรม ที่พระผู้มีพระภาคตรัสรู้และทรงแสดง เป็นขณะ และ เป็นสมัย ที่ยากที่จะมีได้ ถ้าหากบุคคลหนึ่ง บุคคลใด เกิดในนรก เป็นเปรต เป็นสัตว์ดิรัจฉาน ในอบายภูมิ ที่ไม่สามารถที่จะฟังเข้าใจ ในอรรถ ในธรรม ไม่สามารถที่จะอบรมเจริญปัญญา ให้รู้ชัดในสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ ขณะนั้น ก็เป็นที่น่าเสียดาย ที่ไม่ใช่ขณะ ไม่ใช่สมัย ในการที่จะได้อบรมธรรม ซึ่งการที่จะรู้ธรรม ก็เป็นเรื่องที่ยาก และ ละเอียดจริงๆ ...
(คัดจาก ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๑๐๙)
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลทุกประการ ของสมาชิกชมรมบ้านธัมมะ ราชบุรี และ ท่านเจ้าภาพในการจัดการสนทนาธรรมในครั้งนี้ทุกๆ ท่าน และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วยครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรม ยิ่งฟัง ยิ่งศึกษา ประโยชน์ยิ่งมาก คือ
เพิ่มพูนความเข้าใจถูกเห็นถูกยิ่งขึ้น ครับกราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่เคารพยิ่งขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของท่านผู้จัดให้มีการสนทนาธรรมในครั้งนี้ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม ที่ถ่ายทอดธรรมสาระ และเหตุการณ์ต่างๆ ด้วยความละเอียดขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่เคารพยิ่งขออนุโมทนาในกุศลจิตของท่านเจ้าภาพผู้ร่วมจัดให้มีการสนทนาธรรมครั้งนี้ครับขอบพระคุณและขออนุโมทนาคุณวันชัย มา ณ กาลครั้งนี้ ที่เก็บภาพเหตุการณ์ทั้งหมด
อย่างงดงาม และสรุปถ้อยคำได้ไพเราะยิ่งและขออนุโมทนาทุกๆ ท่านด้วยครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรม ยิ่งฟัง ยิ่งศึกษา ประโยชน์ยิ่งมาก คือ
เพิ่มพูนความเข้าใจถูกเห็นถูกยิ่งขึ้น ค่ะกราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่เคารพยิ่งขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของท่านผู้จัดให้มีการสนทนาธรรมในครั้งนี้ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณวันชัย ภู่งาม ที่ถ่ายทอดธรรมสาระ และเหตุการณ์ต่างๆ ด้วยความละเอียดขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ
ขออนุโมทนา
กราบอนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง
และขอกราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัย ภู่งาม
ที่กรุณาถ่ายภาพ และ
ถอดเทปการสนทนาที่ราชบุรีครั้งนี้ เป็นประโยชน์กับสหายธรรมอย่างยิ่งค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ