ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ โรงเรียนส่งกำลังบำรุงทหารบก ๒๑ มิถุนายน ๒๕๖๑
โดย วันชัย๒๕๐๔  5 มิ.ย. 2562
หัวข้อหมายเลข 30911

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันพฤหัสบดี ที่ ๒๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๑ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา และวิทยากรของมูลนิธิฯ อาจารย์วิชัย เฟื่องฟูนวกิจ และ อาจารย์คำปั่น อักษรวิลัย ปธ.๙ ได้รับเชิญจาก พลโท ทรงพล รัตนโกเศรษฐ์ ผู้อำนวยการสำนักกิจการมวลชนและสารนิเทศ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (ผอ.สมท.กอ.รมน.) เพื่อไปสนทนาธรรมกับผู้เข้าอบรมหลักสูตร พัฒนาสัมพันธ์เครือข่ายความมั่นคงระดับผู้บริหาร รุ่นที่ ๑๐ ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ในหัวข้อ "อย่าทำบาปด้วยการให้เงินพระ" ณ โรงเรียนส่งกำลังบำรุงทหารบก ถนนเทอดดำริ แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร ระหว่างเวลา ๑๔.๐๐ น. - ๑๖.๐๐ น.

เมื่อได้ทราบว่า ทางท่านผู้จัดให้มีการสนทนาธรรมในวันนี้ได้กำหนดหัวข้อของการสนทนาไว้ว่า "อย่าทำบาปด้วยการให้เงินพระ" ก็ทำให้คิดถึงคำปรารภ อันเป็นที่ทราบกันดีในหมู่ของผู้ที่ศึกษาและเข้าใจในพระธรรมคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ปัจจุบันพระพุทธศาสนาในประเทศไทย (และแม้ทั่วโลก) มีความวิกฤตอย่างมาก หาได้มีความเจริญรุ่งเรืองอย่างที่หลายท่านกล่าวกันไม่ ที่กล่าวว่าพระพุทธศาสนา (เถรวาท) ในประเทศไทยปัจจุบันอยู่ในขั้นวิกฤต เพราะมีสาเหตุมาจากการที่ทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิตไม่ศึกษาและไม่เข้าใจพระธรรมและพระวินัย บวชเป็นบรรพชิตเข้ามาแล้ว แต่ไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยที่พระบรมศาสดาพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ จุดประสงค์เพียงมุ่งหวังในลาภ สักการะ ทรัพย์สินเงินทอง เมื่อบวชแล้วไม่ศึกษาและไม่เข้าใจพระธรรมวินัย ไม่เป็นไปตามจุดประสงค์ที่แท้จริงของการบวชซึ่งมีกิจเพียงสองอย่างเท่านั้น คือ คันถธุระและวิปัสสนาธุระ (คลิกอ่าน...หน้าที่หรือกิจที่ถูกต้องของภิกษุในธรรมวินัยนี้ [คาถาธรรมบท]) จึงจะมีสิ่งใดที่จะนำไปกล่าวเกื้อกูลให้พุทธศาสนิกชน ได้มีความเข้าใจพระธรรมที่ถูกต้อง ตรงตามความจริงที่ทรงตรัสรู้และทรงแสดงไว้ ทั้งพระและฆราวาสจึงต่างพากันประพฤติปฏิบัติในหนทางที่เป็นความเห็นผิด ไม่ก่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น เข้าใจผิดว่าพระพุทธศาสนาเป็นเรื่องของการไปนั่งสมาธิ เดินจงกรม (ขอเชิญคลิก...ปฏิบัติคืออะไร) ลืมเสียสิ้นว่าพุทธศาสนาเป็นศาสนาของผู้รู้ ซึ่งแทนที่จะฟังคำของผู้ที่ทรงตรัสรู้ให้เข้าใจให้ถูกต้อง กลับพากันไป "ทำ" ในสิ่งซึ่งไม่ก่อให้เกิดความรูู้ ความเข้าใจใดๆ เลยทั้งสิ้น (ขอเชิญคลิกอ่าน...ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ที่ถูกต้องคืออย่างไร) พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเปรียบถึงบุคคลดังกล่าวว่าเหมือน คนตาบอดจูงคนตาบอด ผู้สอนก็ตาบอด ผู้ที่เข้ามาสู่หนทางก็ตาบอด ไม่คิด ไม่พิจารณาให้ถูกต้อง ว่าสิ่งใดผิดสิ่งใดถูก มีเหตุผลหรือไร้ซึ่งเหตุผล ก็กระทำตามๆ กันไปด้วยความไม่รู้ ไม่พิจารณาโดยละเอียดรอบคอบ หารู้ไม่ว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่งสำหรับสังสารวัฏฏ์ ทั้งของตัวผู้สอนเองและผู้อื่นอีกมากมายนับประมาณไม่ได้ เพราะความเข้าใจผิดคิดเองในพระธรรมคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งมีโทษอย่างยิ่ง

พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ ๑๙๒

[๑๙๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ที่ชักชวนเข้าในธรรมวินัยที่กล่าวไว้ชั่ว ๑ ผู้ที่ถูกชักชวนแล้วปฏิบัติเพื่อความเป็นอย่างนั้น ๑ คนทั้งหมดนั้น ย่อมประสบกรรม มิใช่บุญ เป็นอันมาก ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะธรรมท่านกล่าวไว้ชั่ว.

ขอเชิญคลิกอ่าน...อาจารย์สอนผิด

การทั้งหลาย จึงเป็นการกล่าวตู่ กล่าวอ้างพระบรมศาสดาพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเพียงเพื่อการแอบแฝง เป็นกาฝากอยู่ในพระศาสนา อ้างว่ากล่าวธรรมะ แสดงธรรมะแต่เพียงการพูดบาลีไม่กี่คำ แต่ตามมาด้วยคำพูดจากการคิดนึกเอาเองของตนทั้งสิ้น หาใช่เป็นคำกล่าวที่เกิดจากความเข้าใจพระธรรม ความจริงจากการตรัสรู้และได้ทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้ให้พวกเราได้เข้าใจไม่ นี่หรือคือความเจริญรุ่งเรืองของพระศาสนา? จะป่วยกล่าวไปใยถึงการเป็นภิกษุผู้ไม่เคารพยำเกรงในพระบรมศาสดาพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงมีพระมหากรุณาคุณ และพระบริสุทธิคุณอันยิ่งต่อสัตว์โลกที่เต็มไปด้วยความไม่รู้

ที่พบเห็นในปัจจุบัน โดยมาก ผู้ที่เข้ามาสู่พระศาสนา เข้ามาโดยมุ่งหวังเพียงลาภสักการะ ทรัพย์สินเงินทอง หวังความสะดวกสบายจากการที่ไม่ต้องทำงาน บ้างก็บวชเพราะเจ็บไข้ไม่สบาย บวชเพราะมีปัญหาชีวิต บวชเพราะตกงาน ไม่มีงานทำ ไม่มีเงินใช้ บวชเพราะถูกชักชวนให้บวชตามจำนวน บวชตามประเพณี บวชเพราะคิดว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ เมื่อบวชเข้ามาแล้ว ก็ประพฤติผิดพระธรรมวินัย มีอาบัติติดตัวตั้งแต่ขณะแรกในวันแรกที่บวช เพราะทันที่ทีก้าวเท้าออกจากโบสถ์ก็รับเงินและทองจากญาติโยมที่มาร่วมการบวชแล้ว ภายหลังการบวช มีการประพฤติตนเยี่ยงคฤหัสถ์ ร่ำรวยเงินทอง หากินกับศรัทธาของชาวบ้าน มีโทรศัพท์มือถือ มีคอมพิวเตอร์ เดินตามห้างสรรพสินค้า ขับรถยนต์เอง ขี่มอเตอร์ไซค์ ขี่ม้าบิณฑบาต เข้าร้านอาหาร ร้านกาแฟ บ้างก็พูดตลกคนอง พูดเรื่องไร้สาระของชาวบ้าน (ขอเชิญคลิก...พระภิกษุ คือ ผู้สงบ ไม่ใช่นักพูดตลก) พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่าเป็นโมฆบุรุษ บุรุษเปล่า ประพฤติตนดังหยากเยื่อ หาคุณค่าสาระอันใดมิได้ เป็นเศรษฐีหัวโล้น เป็นมหาโจรปล้นพระศาสนา เป็นต้น หาได้เป็นภิกษุผู้ประเสริฐด้วยการสละ ละอาคารบ้านเรือน ทรัพย์สินเงินทอง จากการเป็นผู้มีอัธยาศัยที่สะสมมาในอดีต ที่เมื่อได้ฟังและเข้าใจพระธรรมแล้ว จึงสละ ละอาคารบ้านเรือนแล้วออกบวชเพื่อถึงความหลุดพ้นไม่ (ขอเชิญคลิกอ่าน...ภิกษุลามก อุบาสกจัณฑาล บริษัทดื้อด้าน วิกฤติพระพุทธศาสนา)

ดังนั้น การที่มีผู้กล่าวว่า พระพุทธศาสนาในประเทศไทยหรือแม้ในโลก มีความเจริญรุ่งเรืองนั้น จึงเป็นคำกล่าวที่เลื่อนลอย ไม่มีเหตุผลตรงตามพระธรรมวินัยที่ทรงแสดงและบัญญัติไว้แต่อย่างใดทั้งสิ้น อนึ่ง มีการกล่าวอ้างถึงยุคสมัยที่เปลี่ยนไปว่า ภิกษุจำเป็นต้องรับเงินและทองเพื่อการยังชีพ ทั้งมีความประสงค์จะแก้ไขพระธรรมวินัยเพื่อให้สอดคล้องกับยุคสมัย ไม่สำนึกและสำเหนียกว่า พระธรรมวินัยที่ทรงบัญญัติไว้นั้น เพื่อการประพฤติปฏิบัติขัดเกลากิเลส อันเป็นการบัญญัติขึ้นจากพระปัญญาจากการตรัสรู้ของพระองค์ ที่จะหาผู้ใดในสากลจักรวาลที่จะรู้ความเป็นไปของกิเลสอันละเอียดลึกซึ้งยิ่งนั้นได้

เมื่อรู้ตนเองว่าไม่สามารถที่จะประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยได้ ก็ควรที่จะลาสิกขา คือสึกออกไปเสีย ไม่อยู่เป็นภิกษุให้เป็นที่เสื่อมเสียแก่พระศาสนาและประเทศชาติ ประการสำคัญที่สุดคือไม่เป็นการทำร้าย ทำลายแก่สังสารวัฏฏ์ของตนนั้นเอง กล่าวคือ ภิกษุที่ประพฤติผิดพระธรรมวินัยเช่นว่านี้ เมื่อสิ้นชีวิตจากชาตินี้ ย่อมมีทุคติ วินิบาต นรก เป็นที่หมาย ดังที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ผู้ที่รู้ความจริงเช่นว่านี้ ย่อมรู้ว่า น่ากลัวอย่างยิ่ง หาใช่คำกล่าวที่เลื่อนลอยแต่อย่างใดไม่ การลาสิกขาออกมาเป็นคฤหัสถ์ผู้ศึกษาและเข้าใจพระธรรม เพื่อสะสมความเข้าใจไปทีละเล็ก ทีละน้อย ย่อมเป็นสิ่งที่ประเสริฐกว่า ทั้งแก่สังสารวัฏฏ์ของตนเองและไม่เป็นการทำร้าย ทำลายพระศาสนา

ท่านอาจารย์ เรื่องที่จะพิจารณา เป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้ง ต้องเข้าใจจริงๆ มิฉะนั้น ก็จะเสียเวลาและเสียประโยชน์ เพราะเหตุว่า เป็นเรื่องใหญ่ ที่ชาวพุทธส่วนใหญ่ โดยมาก จะไม่ฟัง "แต่ละคำ" เช่น "พระภิกษุ" เราเห็นพระภิกษุทุกวัน แต่รู้ไหม? ว่า "พระภิกษุ" คือใคร?

ทุกอย่าง ต้องเป็นความละเอียด ที่ต้องเข้าใจก่อนว่า คือใคร? หรือว่า คืออะไร? ถ้ารู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จะรู้ได้ว่า ถ้าไม่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีพระภิกษุ แน่นอน!! เพราะฉะนั้น พระภิกษุเป็นใคร?

ผู้ที่ได้ "ฟังพระธรรม" แล้ว แล้วก็ "เข้าใจ" เห็นประโยชน์อย่างยิ่ง ที่จะสละเพศคฤหัสถ์ ซึ่งสละยากมาก ทุกคนคิดดู สละหมดทุกอย่าง พ่อ แม่ พี่ น้อง ทรัพย์สมบัติ สิ่งที่เคยรื่นเริงบันเทิงใจทั้งหมด อาหารอร่อย มหรสพทั้งหมด เพื่ออุทิศชีวิต โดยขออุปสมบทจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อที่จะศึกษาพระธรรม ขัดเกลากิเลส จนกว่าจะถึงความเป็นพระอรหันต์ เช่นพระองค์

เพราะฉะนั้น พระภิกษุคือศากยบุตร บุตรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระบิดา ซึ่งเป็นผู้ให้กำเนิด สิ่งใดที่พระองค์ตรัสไว้ ผู้ที่เป็นภิกษุ ต้องประพฤติปฏิบัติตาม

คฤหัสถ์ สามารถที่จะฟังพระธรรม เข้าใจได้ ในครั้งนั้น ผู้ที่ได้ฟังพระธรรมแล้ว สามารถที่จะเป็นพระโสดาบัน เป็นพระสกทาคามี พระอนาคามี พระโสดาบันคือผู้ที่ดับกิเลส ความเห็นผิด แสดงให้เห็นว่า "ก่อนที่จะได้ฟังพระธรรม" ต้อง "เห็นผิด" ไม่ใช่ว่าเราสามารถจะ "เห็นถูก" ได้ด้วยตัวเอง พอได้ฟังพระธรรมแล้ว ก็สามารถที่จะเข้าใจถูกขึ้น ในสิ่งซึ่งไม่เคยเข้าใจมาก่อน มิฉะนั้นแล้ว ก็จะไม่มีการรู้พระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ในสังสารวัฏฏ์ที่ยาวนาน ทุกสิ่งถูกปกปิดไว้ ไม่เปิดเผยเลย จนกว่าจะมีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า!!!

เพราะฉะนั้น "คำของพระองค์ทุกคำ" ทำให้เกิด "ความเข้าใจ" ในสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน เดี๋ยวนี้ทั้งหมด!! ไม่มีใครรู้ความจริง จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม เพราะฉะนั้น ผู้ที่ได้ฟังพระธรรมในครั้งนั้น มีทั้งคฤหัสถ์ หญิง ชาย วัยไม่จำกัด พอฟังแล้ว ก็แล้วแต่ว่า "อัธยาศัย" ใครมีอัธยาศัยที่จะสละอาคารบ้านเรือน จึงสละอาคารบ้านเรือน (ขอเชิญคลิก...การบวช เรื่องที่ต้องเข้าใจให้ถูกต้องตรงตามพระพุทธประสงค์ ) แต่ถ้าไม่มีอัธยาศัย ก็ฟังพระธรรมต่อไป เข้าใจต่อไป ขัดเกลากิเลสต่อไป จนกระทั่งรู้แจ้งอริยสัจธรรม ไม่ว่าจะเป็นภิกษุหรือคฤหัสถ์ อยู่ที่ "ปัญญา" ที่สามารถที่จะเข้าใจ เพราะฉะนั้น ภิกษุที่บวชแต่ยังไม่รู้แจ้งอริยสัจธรรมก็มี คฤหัสถ์ที่ไม่ได้บวช แต่เข้าใจธรรมะ รู้แจ้งอริยสัจธรรมก็มี

เพราะฉะนั้น ก็ไม่มีใครบังคับใคร ไม่มีใครชวนใครให้ไปบวช เป็นร้อยเป็นพัน ไม่มี!! เพราะเหตุว่า ถ้าไม่สามารถที่จะสละอาคารบ้านเรือน แล้วชวนเขาไปสละได้อย่างไร? เขาสามารถที่จะอบรมเจริญปัญญาในเพศนั้นได้อย่างไร? ถ้าไม่มีอัธยาศัย!!

ด้วยเหตุนี้ ในครั้งพุทธกาล คฤหัสถ์ก็สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ ต่อเมื่อบรรลุความเป็นพระอรหันต์ ดับกิเลสหมดเมื่อไหร่ เมื่อนั้นไม่สามารถที่จะมีชีวิตอย่างคฤหัสถ์อีกต่อไป ต้องอุปสมบทเป็นพระภิกษุ นี่แสดงให้เห็นว่า เพศบรรพชิต คือเพศของพระอรหันต์ เพราะฉะนั้น คฤหัสถ์ในครั้งโน้นกราบไหว้ เพราะเห็นอัธยาศัยที่สะสมมา ที่เหนือกว่าคฤหัสถ์ ที่สามารถสละทุกสิ่งทุกอย่างได้

เพราะฉะนั้น พระภิกษุในครั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอย่างไร เปลี่ยนไม่ได้!! ไม่ว่ายุคไหนสมัยไหน จะมีข้ออ้างอย่างนั้นอย่างนี้ ที่จะไม่ประพฤติตามคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้!! เพราะเหตุว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริงซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ ไม่มีผู้ใดเปรียบได้เลย เพราะฉะนั้น ทุกคำของพระองค์ที่ตรัสแล้ว เปลี่ยนไม่ได้!!! เพราะทรง "ตรัสรู้" ใช้คำว่า "ตรัสรู้" ไม่ใช่ "รู้" ธรรมดา รู้ความจริงซึ่งคนอื่นไม่รู้ในขณะนี้ จนถึงที่สุด!! เพราะฉะนั้น พระธรรมที่ทรงแสดงแล้ว ไม่มีใครสามารถจะเปลี่ยนได้เลย

ด้วยเหตุนี้ พระภิกษุจะต้องเป็นภิกษุ ไม่ว่าในครั้งไหน ต้องตามพระธรรมและพระวินัยที่ได้ตรัสไว้ดีแล้ว ถ้าเห็นพระภิกษุ ก็ต้องรู้ว่า บวชเพื่ออะไร ซึ่งยุคนี้สมัยนี้ ถ้าจะถามคนที่บวช ว่า "ทำไมบวช?" จะมีคำตอบว่าอย่างไร? จะมีคำตอบไหม? ว่า บวชเพื่อศึกษาธรรมะ เพื่อขัดเกลากิเลส และประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย นั่นคือภิกษุในธรรมวินัย

ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุนี้ เป็นภิกษุในพระธรรมวินัยหรือเปล่า? มีความเคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า? มีความตั้งใจที่จะเข้าใจธรรมะ ศึกษาความละเอียดลึกซึ้ง เพื่อขัดเกลากิเลส เพื่อเป็นประโยชน์แก่ตนเอง และคนอื่นหรือเปล่า? นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ถ้าชาวพุทธไม่ได้เข้าใจธรรมะ ก็จะไม่รู้ว่าภิกษุเป็นใคร เพราะเหตุว่า ถ้าเพียงเดินมา ไม่สนทนากัน จะไม่รู้ว่าเป็นภิกษุหรือไม่ใช่ภิกษุ แต่ถ้าพบบุคคลที่แต่งตัวอย่างนี้ ครองจีวร ทุกสิ่งทุกอย่าง ในห้างสรรพสินค้า หรือว่ามีกล้องถ่ายรูปหรืออะไรก็ตามแต่เหมือนคฤหัสถ์ นั่นไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัย!!

อ.คำปั่น กราบท่านอาจารย์ครับว่า ในประเด็นสนทนา ท่านพลโททรงพล ท่านก็เห็นถึงความสำคัญอย่างยิ่ง ถึงกับตั้งเป็นประเด็นสนทนาว่า "อย่าทำบาป ด้วยการให้เงินพระ" ซึ่งเป็นคำที่น่าพิจารณาอย่างยิ่ง มีคำว่า "อย่า" ด้วย แสดงให้เห็นว่า ท่านต้องเห็นว่าการกระทำอย่างนี้เป็นสิ่งที่มีโทษ จึงตั้งเป็นประเด็นสนทนาว่า "อย่าทำบาป ด้วยการให้เงินพระ" การให้เงินพระเป็นบาปอย่างไร? และ เงินไม่ควรแก่พระภิกษุอย่างไรครับ ท่านอาจารย์ครับ

ท่านอาจารย์ ถ้าไม่รู้จักพระ ก็คิดว่า ไม่เห็นจะบาปอะไร ใช่ไหม? การให้ น่าจะเป็นการดี ใช่ไหม? เพราะว่าให้เงิน แล้วคนนั้นก็สามารถที่จะไปซื้ออะไรต่ออะไร ทั้งอาหาร ทั้งยารักษาโรค เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่มอะไรได้ แต่ว่า "บาปเพราะไม่รู้จักพระ" จึงให้เงินพระ!!! ถ้ารู้จักพระแล้ว พระคือใคร? ผู้ที่สละเพศคฤหัสถ์

ท่านผู้ฟัง การที่ฆราวาสให้เงินใส่บาตร พระท่านก็ทราบดีว่าเป็นอาบัติ เหตุใดพระถึงจึงไม่บอกฆราวาส ประเด็นที่สองคือ เงินติดกัณฑ์เทศน์ ผิดตรงไหนบ้าง อย่างไรบ้าง ครับ ขอบพระคุณครับ

อ.คำปั่น ก็มีสองประเด็นนะครับ ประเด็นแรก เมื่อมีคฤหัสถ์ใส่เงินให้กับพระ จะด้วยการใส่ลงในบาตรก็ตาม พระทำไมถึงไม่บอกว่าเป็นการกระทำที่ผิด ประเด็นที่สองก็คือ การใส่เงินเวลาที่มีพระเทศน์ แล้วก็ให้เงินกับพระภิกษุ ที่เรียกว่า ติดกันณฑ์เทศน์ ผิดอย่างไร ก็มีสองประเด็นครับท่านอาจารย์ครับ

ท่านอาจารย์ ก็ต้องถามให้คิด เพราะไม่รู้ หรือว่า เพราะอยากได้? เวลาที่คนให้เงินพระโดยประการใดๆ ก็ตาม จะใส่ไปในบาตรหรือกัณฑ์เทศน์ก็ตาม แล้วพระไม่บอกว่าผิดพระวินัย เป็นเพราะพระไม่รู้พระวินัย หรือว่า เพราะพระอยากได้เงิน? มีต้นเหตุอยู่สองอย่าง ต้องหาต้นเหตุก่อน ว่าเพราะอะไร? จะตอบแทนได้ไหม?

ท่านผู้ฟัง อาจจะอยากได้เงิน อันนี้จากความรู้สึกครับท่านครับ เพราะว่าพระธรรมวินัย ท่านบวชแล้ว อาจจะต้องทราบแล้วครับ เพราะว่า ต้องท่องทุกกึ่งเดือนครับ ข้อนี้ครับ
ท่านอาจารย์ พระคือผู้ที่ละอาคารบ้านเรือน สละทรัพย์สมบัติทั้งหมด แล้วอยากได้เงิน เป็นพระหรือเปล่า?

อ.วิชัย เราจะเห็นว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศพระสัทธรรม และเมื่อมีเหล่าสาวกที่เป็นภิกษุเริ่มมากขึ้น และเริ่มมีความประพฤติในสิ่งที่ไม่สมควร นั่นเริ่มเป็นจุดที่พระองค์จะบัญญัติพระวินัย ความหมายของ "วินัย" หมายถึง เป็น "ธรรมะที่นำกิเลสออกไป" ถ้ากล่าวถึงข้อนี้ ก็จะมีพระบัญญัติเกี่ยวกับเรื่องของพระภิกษุที่ไปสู่ตระกูล ซึ่งในตระกูลนั้นก็มีเนื้อที่จะเตรียมไว้เพื่อทำอาหารถวายแก่ภิกษุ ในตอนใกล้รุ่ง เด็กในเรือนต้องการบริโภคเนื้อ ผู้เป็นพ่อบ้านเลยให้เนื้อแก่เด็กไป แล้วเตรียมเงินหนึ่งกหาปณะ เพื่อว่าเมื่อพระคุณเจ้าประสงค์สิ่งใดท่านก็จะจัดหามาถวาย แต่พอท่าน พระอุปนันทศากยบุตร ไปในเรือนนั้น ก็ถามว่าเธอบริจาคทรัพย์กหาปณะหนึ่งแก่เราแล้วหรือ นายบ้านก็บอกว่า ขอรับ ผมบริจาคแล้ว พระอุปนันทก็กล่าวให้นำเงินนั้นมาให้ตนเอง เมื่อให้ไปแล้ว ท่านนายบ้านก็พิจารณาว่า อะไรเป็นความต่างกัน ฆราวาสก็มีเงิน พระภิกษุก็มีเงินเหมือนกัน เพราะรับเงินไปแล้ว อะไรเป็นความต่างกันของเพศบรรพชิตกับคฤหัสถ์? นี่คือเหตุ ซึ่งท่านก็ได้เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนา และภายหลังก็เป็นเหตุให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประชุมสงฆ์ แล้วก็มีพระบัญญัติขึ้นมา

จะเห็นถึงกิเลสซึ่งบุคคลที่ไม่ใช่เพศบรรพชิต เช่น คฤหัสถ์มีเงินทอง เพราะสะสมอุปนิสัย อัธยาศัยที่ยังพอใจอยู่ จึงไม่สละเพศคฤหัสถ์เป็นเพศบรรพชิต แต่ความเป็นเพศบรรพชิตยิ่งใหญ่กว่านั้น!! เราจึงเคารพกราบไหว้ท่าน ว่าท่านเป็นผู้มีอัธยาศัยที่ยิ่งใหญ่ ที่สามารถสละในสิ่งที่เรายากที่จะสละความติดข้องจริงๆ และเมื่อสละไปแล้ว ท่านจะกลับมารับคืนได้อย่างไร? เพราะว่าก่อนที่จะบวช พระวินัยบัญญัติก็บัญัติไว้แล้ว มีสิกขาบทแล้ว บุคคลที่จะบวชก็ต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ มีปัญญาที่จะรู้ว่า สิ่งที่มีคุณประเสริฐ คือพระธรรมวินัย และสามารถจะประพฤติตามได้หรือเปล่า? นี่คือผู้ที่ต้องมีปัญญา จึงสามารถที่จะเป็นเพศบรรพชิตได้ครับ ท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์ คนที่จะบวช ไม่รู้หรือ? ว่าต้องสละบ้าน วงศาคณาญาติ ทรัพย์สมบัติ คำว่าบวช ปวช (ปะ-วะ-ชะ) หรือ บรรพชา หรือ ปพฺพชฺชา (ปัพพัชชา) ก็คือว่า "ละทั่ว" เพราะเห็นว่า ถ้ายังไม่ทั่ว ก็คือคฤหัสถ์ ที่สามารถที่จะฟังพระธรรม เข้าใจพระธรรม อบรมปัญญา ดับกิเลสได้ แต่เป็นผู้ที่ตรง การที่จะเข้าใจพระธรรมต้องตรง แม้แต่ว่าจะเป็นคฤหัสถ์หรือบรรพชิต ก็ต้อง "ตรง"

เพราะฉะนั้น พระภิกษุทุกรูปต้องรู้ว่าหลังจากละอาคารบ้านเรือนแล้ว กังวลอะไร? จะอยู่ที่ไหน ถ้ายังกังวลอยู่ ก็ไม่ไปไหน ก็ยังอยู่บ้านต่อไป แต่ต้องเป็นผู้ที่มีความเข้าใจพระธรรม ยอมที่จะสละชีวิตคฤหัสถ์ ที่ไหนก็อยู่ได้ ถ้าได้เข้าใจพระธรรม ถ้ามีโอกาสได้ฟังพระธรรม เพราะฉะนั้น มีชีวิตอยู่โดยที่ว่า ที่อยู่มีแน่ ป่าเขาในครั้งโน้น ท่านอยู่กันอย่างสบาย เพราะว่า ท่านไม่ได้กังวลที่จะอยู่บ้าน เสื้อผ้า จีวรมี อาหารมี พอไหม? ถ้าป่วยไข้ก็มียารักษาโรค ตามมี ตามได้ ตามพระธรรมวินัย ต้องเป็นผู้ที่สามารถที่จะเห็นว่าดำรงชีวิตอย่างนั้นได้ จึงสละอาคารบ้านเรือน เป็นพระภิกษุ

แล้วจะกลับมารับเงินทอง เพื่ออะไร? และถ้าถามพระที่รับเงิน ว่าเอาเงินไปทำอะไร? รับไปแล้ว เอาเงินไปทำอะไร? คำตอบจะเป็นอะไรคะ? อาหารก็มีผู้ที่ถวายให้เป็นบิณฑบาต เพียงพอในวันหนึ่ง วันหนึ่ง เก็บไว้ก็ไม่ได้ คฤหัสถ์เก็บไว้ได้ แต่พระภิกษุ ฉันภายในเที่ยง แล้ว จะเก็บแม้เกลือที่จะบริโภคต่อไป ก็ไม่ได้!!! เพราะฉะนั้น พระธรรมวินัยบริสุทธิ์อย่างยิ่ง สำหรับผู้ที่บริสุทธิ์และจริงใจ ที่จะขัดเกลากิเลส มิฉะนั้นมีโทษ เพราะเหตุว่า มีชีวิตโดยอาศัยผู้อื่น

ข้อความในพระไตรปิฎกก็คือว่า ผู้ทำความดีเพราะการขอ ขออย่างพระภิกษุ ไม่ใช่ไปขอด้วยปาก แต่ด้วยอาการที่สงบ ให้รู้ว่าเป็นผู้ที่สงบ ถือบาตร คนอื่นเห็นก็รู้ว่า ผู้นี้ไม่ได้หุงหาอาหาร เพราะฉะนั้นก็ แล้วแต่ศรัทธา ใครจะให้หรือไม่ให้ ไม่ใช่ว่าจะต้องไปขอใคร แต่ก็มีผู้ที่มีศรัทธาเสมอมา ที่พระภิกษุอยู่ได้ก็ด้วยอาหารบิณฑบาต วันนั้นที่อยู่ได้ด้วยอาหาร พอไหม? ที่จะมีชีวิตอยู่ ที่จะขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต? บุคคลนั้นแหละที่สมควรที่จะเป็นภิกษุในธรรมวินัย แต่ถ้ายังมีชีวิตเหมือนคฤหัสถ์ด้วยประการหนึ่งประการใด ผู้นั้นก็ไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัย!!

เพราะฉะนั้น ต้องเป็น "ผู้ที่ตรง" มิฉะนั้น ก็เป็นผู้ที่ไม่ละอาย แล้วก็ หลอกลวง ทั้งๆ ที่สละเพศคฤหัสถ์แล้ว ก็ยังทำเหมือนคฤหัสถ์ ก็แสดงว่าเป็นผู้ที่ไม่จริงใจ (ขอเชิญคลิก...ความเป็นผู้ตรง) ยิ่งพระภิกษุที่มีเงิน ชาวบ้านก็จน แต่พระก็รวย แล้วอย่างไร? ก็แสดงให้เห็นว่า ไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัย ไม่ได้ขัดเกลาอะไร ถามเลย ก่อนบวช บวชทำไม? (ขอเชิญคลิก...ทำไมบวช) คำตอบคืออะไร? และบวชแล้ว ถ้ารับเงิน เอาเงินไปทำอะไร? เพราะว่าเพศบรรชิตไม่ต้องใช้เงินก็อยู่ได้

ท่านผู้ฟัง กราบเรียนท่านอาจารย์ครับ อยากจะถามด้วยความสงสัยครับ ขออนุญาตเรียนว่า กระผมเป็นอิสลาม แต่ว่าก็ฟังด้วยความตั้งใจมา ผมมีข้อสงสัยอยู่อย่างหนึ่งว่า เนื่องจากวันนี้หัวข้อของเราก็คือว่า "อย่าทำบาป ด้วยการให้เงินพระ" ถูกต้องครับ เมื่อคนที่จะมาบวชเป็นพระก็ต้องละทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว แต่ว่า ผมมองดูในปัจจุบัน ผมก็เคยบริจาค (อิสลาม) เขาไม่ได้ห้ามในการบริจาค ปัจจุบันในวัดของเรา จะมีเด็กที่กำพร้าบ้าง ที่อะไรต่างๆ บ้างที่ไปอยู่ในวัด ซึ่งคำถามที่หนึ่งก็คือว่า เราจะสามารถที่จะผลักออกได้ไหม ที่เขาเป็นเด็กกำพร้า ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ แล้วไปอยู่วัด นั่นคำถามที่หนึ่ง ส่วนคำถามที่สองก็คือว่า ถ้าหากว่าเราไม่บริจาคเงินให้กับพระเลย หรือวัดเลย เด็กไปโรงเรียนต้องใช้ปัจจัย กินข้างจากก้นบาตรได้ แต่เวลาไปโรงเรียน เขาไม่มีผู้อุปการะดูแล ถ้าเราไม่ให้เลย จะทำอย่างไร?

ท่านอาจารย์ ข้อสำคัญที่สุด ต้อง "ตรงต่อความจริง" ภิกษุบวช เพื่อศึกษาธรรมและขัดเกลากิเลส มิฉะนั้น เป็นคฤหัสถ์ ดูและเด็กำพร้าได้ ดูแลทุกอย่างได้หมด เพราะเหตุว่า นั่นเป็นกิจของคฤหัสถ์ แต่กิจของพระภิกษุ ไม่ใช่ว่าใครจะเป็นพระภิกษุได้ง่ายๆ ต้องรู้จริงๆ ว่า ต้องสะสมมา ที่จะสละเพศคฤหัสถ์ ถ้าจะทำกิจช่วยเหลืออย่างนั้น ก็เป็นคฤหัสถ์ต่อไป หน้าที่ของรัฐบาล หน้าที่ของอะไรก็แล้วแต่ ซึ่งเป็นคฤหัสถ์ แต่ต้องเข้าใจความต่าง ภิกษุไม่ใช่คฤหัสถ์ เพราะฉะนั้น ภิกษุมีธุระสองอย่างในชีวิต ตั้งแต่เป็นพระภิกษุ คือ คันถธุระ ศึกษาธรรมะ ,วิปัสสนาธุระ ศึกษาธรรมะเพื่ออะไร เพื่อขัดเกลากิเลส ด้วยปัญญาระดับที่รู้ความจริง เพราะเหตุว่า คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ นำไปสู่การรู้ความจริง อย่างที่พระองค์ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง

ถ้าภิกษุใด ไม่ศึกษาธรรมะ แล้วเลี้ยงเด็ก เป็นภิกษุทำไม? นั่นไม่ใช่ภิกษุ ภิกษุไม่ใช่มีหน้าที่เลี้ยงเด็ก หน้าที่เลี้ยงเด็กเป็นหน้าที่ของคฤหัสถ์ กิจการใดๆ ทั้งหมด เป็นหน้าที่ของรัฐบาล ข้าราชการ แล้วแต่ว่าใครมีหน้าที่อะไรก็ดูแลทำสิ่งนั้น แต่สำหรับพระภิกษุ ศึกษาพระธรรม ภิกษุใดก็ตามที่ไม่ศึกษาพระธรรม จะขัดเกลากิเลสไม่ได้ เพราะฉะนั้น ก็เป็นเพศคฤหัสถ์นั่นแหละ ที่อาศัยเพียงการ อยากบวช แต่ก็ไม่รู้ว่าบวชแล้วทำอะไร ถ้าไม่ศึกษาธรรมะก็คือว่า ไม่ใช่ภิกษุในธรรมวินัย

ข้อสำคัญที่สุด ต้องไม่ลืมความเป็น "ผู้ตรง" ถ้าไม่ตรง จะไม่ได้ "ความจริง" ใดๆ เลยทั้งสิ้น!! เคารพพระภิกษุ เพราะท่านรักษาโรค หรือว่า เพราะท่านศึกษาพระธรรมและขัดเกลากิเลส? เห็นไหม? ชาวพุทธจะตอบอย่างไร? เคารพพระภิกษุ เพราะท่านศึกษาพระธรรมและขัดเกลากิเลส หรือว่า เคารพท่าน เพราะท่านรักษาโรค? และเลี้ยงเด็ก? ไม่มีคำตอบหรือคะ?

เพราะไม่รู้จักว่า ภิกษุ ต่างจาก คฤหัสถ์ เพราะฉะนั้น คฤหัสถ์ทำหน้าที่ของคฤหัสถ์ ใช่ไหม? จะเลี้ยงดูเด็ก จะรักษาโรค จะโรคเอดส์หรือโรคอะไรก็ตามแต่ นั่นไม่ใช่หน้าที่ของพระภิกษุ!!! ในพระธรรมวินัยไม่ได้บอกไว้เลย ไม่ได้บอกอนุญาตให้ภิกษุไปรักษาโรค หรือว่าไปเลี้ยงดูเด็ก แต่ว่า การบวช ด้วยการที่ว่า เป็นคฤหัสถ์ ไม่บวชก็ยังเข้าใจธรรมะได้

เพราะฉะนั้น การบวชแสดงชัดเจนว่า ผู้นั้นสละเพศคฤหัสถ์เพื่ออุทิศชีวิต ในการที่จะศึกษาพระธรรมและขัดเกลากิเลส เพราะรู้ว่าพระธรรมลึกซึ้ง ยากยิ่ง ไม่ใช่แค่ฟังคำสองคำ อย่างเราที่เป็นคฤหัสถ์แล้วพอ ใช่ไหม? แต่เห็นคุณค่ามากว่านั้นอีก เพราะฉะนั้น ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ยิ่งกว่าคฤหัสถ์ เพราะเหตุว่า เมื่อศึกษาเข้าใจธรรมะแล้ว ก็แสดงและประกาศธรรมะให้คฤหัสถ์ได้เข้าใจ ว่าชีวิตคฤหัสถ์ที่ดีควรจะเป็นอย่างไร ข้าราชการที่ดี ตำรวจ ทหารที่ดี ทุกคนที่ดี เพราะเข้าใจธรรมะตามความเป็นจริง ตามความถูกต้อง เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะเจริญมากกว่านี้ เพราะว่าต่างคนก็ต่างรู้หน้าที่

แต่เพราะเหตุว่า ทำไมให้พระภิกษุ ท่านศึกษาธรรมะแล้วทำไมไปให้ท่านทำอย่างนี้ นั่นก็แสดงให้รู้ว่า ไม่รู้จักพระภิกษุ เพราะไม่เข้าใจพระธรรม และไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงไม่เห็นคุณของพระธรรมว่า ถ้าไม่มีใครศึกษาให้เข้าใจสืบทอดกัน พระธรรมก็อันตรธาน ไม่มีใครจะรู้เลย ว่าขณะนี้เป็นธรรมะ และยังลึกซึ้งกว่านี้อีกมาก ซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้ที่สละชีวิต เพื่อศึกษาความละเอียด และบำเพ็ญประโยชน์ยิ่งกว่าคฤหัสถ์ เพราะเหตุว่า สามารถจะให้เขารู้ดีรู้ชั่ว แล้วก็ จิตใจเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะเหตุว่า การกระทำทุกอย่างต้องมาจากจิต "จิตที่ไม่รู้" ก็ทำสิ่งที่ไม่รู้!! "จิตที่มีปัญญา" ก็สามารถทำสิ่งที่ถูกต้อง!!!

ธรรมะ เป็นเรื่องที่ละเอียด ลึกซึ้ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมะ ๔๕ พรรษา กี่คำ? เพราะฉะนั้น มีผู้ที่ต่างกัน ที่เป็นพุทธบริษัท ฝ่ายหนึ่งคือคฤหัสถ์ธรรมดา แต่บรรพชิตคือผู้ที่ละอาคารบ้านเรือน เพราะฉะนั้น เรา "รู้ความต่าง" ใหญ่ๆ คือ ภิกษุไม่มีบ้านเรือน วัดก็ไม่ใช่ของภิกษุ (วัดเป็นของพระศาสนา) ภิกษุไม่มีสมบัติใดๆ เลยทั้งสิ้น!! แต่ภิกษุอยู่ที่วัดวาอาราม คำว่า อารามะ คือ ที่รื่นรมย์ สงบจากอกุศล ไม่ใช่ตลาดนัด ไม่ใช่อะไรทั้งสิ้น ต้องเป็นสถานที่ ที่เข้าไปแล้ว สงบ คนที่เข้าไปในวัด เช่นที่ พระเชตวันมหาวิหาร เข้าไปด้วยความเคารพอย่างยิ่ง เพื่อฟังพระธรรม

เพราะฉะนั้น วัดเป็นที่ ที่จะได้รับความรู้ จากผู้ที่สละเพศคฤหัสถ์ และศึกษาเพื่อที่จะได้นำความรู้นั้นเผยแพร่ อย่างใช้คำว่า "ธรรมฑูต" "ฑูต" คือ ผู้ที่กระทำหน้าที่แทน ใช่ไหม? เพราะฉะนั้น ธรรมฑูต คือ ผู้ที่ทำหน้าที่แทนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คนนั้นต้องมีความรู้เสมอ ที่จะทำให้คนอื่น พอที่จะได้เข้าใจธรรมะถูกต้อง ไม่ผิดพลาด เพราะฉะนั้น ธรรมฑูตในครั้งนั้นคือพระอรหันต์ เวลาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้และทรงแสดงธรรม ผู้ที่เป็นพระอรหันต์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าส่งไปประกาศพระศาสนา เพราะมีความเข้าใจถูก

ด้วยเหตุนี้ ต้องรู้ว่า "พระภิกษุ" ก็คือ ผู้ที่ได้ฟังธรรมะ แล้วก็ละเพศคฤหัสถ์ จะมาแต่งตัวอย่างคฤหัสถ์ก็ไม่ได้ และความประพฤติทั้งหมด จะเป็นอย่างคฤหัสถ์ก็ไม่ได้!! ประการสำคัญที่สุด ที่ต่างกัน คือ คฤหัสถ์มีเงินและทอง มีทรัพย์สมบัติ แต่พระภิกษุ ไม่มีเลย สละหมด ถ้าเป็นผู้ที่มีเงินและทอง ผู้นั้นไม่ใช่ภิกษุ มีรถยนต์ มีอะไรๆ ต่างๆ มีที่ดิน ก็ไม่ใช่ภิกษุ เพราะเหตุว่า ภิกษุต้องเป็นผู้ที่สละทั้งหมด นี่ประการใหญ่ๆ

ประการอื่นอีก ภิกษุไม่ทำหน้าที่ของคฤหัสถ์ จะมาเลี้ยงเด็ก จะมาทำอะไรก็ไม่ได้ เพราะเหตุว่า มีหน้าที่ ที่จะศึกษาธรรมะ ที่ลึกซึ้งละเอียด และยาก ถ้าศึกษาแล้วจะรู้ว่า ตลอดชีวิตไม่พอ ที่จะเข้าใจ เพราะฉะนั้น แม้ว่าท่านจะเป็นภิกษุ ก็จะต้องดำรงความเป็นภิกษุ ถ้าให้ใครเงินทองภิกษุ ก็คือว่า เขาไม่รู้จักภิกษุ เท่ากับเป็นการทำลายภิกษุในพระธรรมวินัย (ขอเชิญคลิก...จะบวชหรือจะบาป)

จะให้เงินภิกษุไหม?

ท่านผู้ฟัง ไม่ให้แล้วครับ

[เล่มที่ 3] พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปฐมภาค-ทุติยภาค เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ ๙๔๐

พระบัญญัติ

๓๗. อนึ่ง ภิกษุใด รับ ก็ดี ให้รับ ก็ดี ซึ่งทอง เงิน หรือ ยินดีทอง เงิน อันเขาเก็บไว้ให้ เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์.

[เล่มที่ 45] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก เล่ม ๑ ภาค ๔ หน้า ๓๒๗

อปายสูตร

“คนเป็นอันมาก อันผ้ากาสาวะพันคอ มีธรรมอันลามก ไม่สำรวม คนลามกเหล่านั้น ย่อมเข้าถึงนรก เพราะกรรมอันลามกทั้งหลาย, ก้อนเหล็กร้อน เปรียบด้วยเปลวไฟ อันผู้ทุศีลบริโภคแล้ว ยังประเสริฐกว่า, ผู้ทุศีล ไม่สำรวม บริโภคก้อนข้าวของชาวแว่นแคว้น จะประเสริฐอะไร”

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของท่านพลโท ทรงพล รัตนโกเศรษฐ์ ผู้อำนวยการสำนักกิจการมวลชนและสารนิเทศ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ

.........

ขอเชิญคลิกชมบันทึกการสนทนาธรรมในครั้งนี้ ได้ที่นี่...



ความคิดเห็น 1    โดย jirat wen  วันที่ 5 มิ.ย. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 3    โดย kullawat  วันที่ 7 มิ.ย. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 4    โดย abhirak  วันที่ 7 มิ.ย. 2562

ขอกราบแทบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ด้วยความเคารพอย่างยิ่งครับ


ความคิดเห็น 5    โดย chvj  วันที่ 18 มิ.ย. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ