ทุกท่านเรี่มชีวิตจากขณะเกิด ปฏิสนธิจิต มีอวิชชาจึงเกิด
โดย pirmsombat  29 พ.ย. 2553
หัวข้อหมายเลข 17574

ข้อความบางตอนจากการบรรยายธรรมโดยท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ท่านอาจารย์ มีข้อสงสัยไหมคะ เรื่องการเจริญสติปัฏฐาน การที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรมในขณะนี้ การที่จะเข้าใจ อายตนะ คือขณะที่กำลังเห็น กำลังรู้สี่งที่กระทบสัมผัส กำลังคิกนึก เป็นอายต ทุกท่านเรี่มชีวิตจากขณะเกิด ปฏิสนธิจิต ซึ่งมีอวิชชาจึงเกิด ถ้าดับ อวิชชาหมด ไม่ต้องเกิดอีกเลย เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่เกิด ก็แสดงว่าต้องมีอวิชชา มีความไม่รู้ที่ยังไม่ได้ดับหมดเป็นสมุจเฉท

ซึ่งอวิชชาในอดีต ก็เป็นปัจจัยแก่สังขาร คือเจตนาที่เป็น กุศลกรรม และ อกุศลกรรม ในอดีต ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ ชาติก่อนจบแล้วหมดแล้ว ย้อนกลับไปไม่่มีใครรู้เลยว่า ทำกรรมอะไรไว้บ้าง ที่เป็น กุศลกรรม และ อกุศลกรรม แต่ชีวิตในปัจจุบันชาติ ย่อมสามารถที่จะพิจารณาได้ว่า ทำกุศลกรรม ไว้ในขณะใดและทำอกุศลกรรมไว้ในขณะใด ขณะที่เห็นสี่งที่น่าพอใจ ทางตา .... กาย ใจ ย้อนระลึกถึง กรรมในอดีตว่าต้องเป็น กุศลกรรม ที่ได้กระทำแล้ว จึงทำให้จักขุวิญญาณ ... กายวิญญาณ รู้อารมณ์ที่น่าพอใจในขณะนั้นๆ

แต่ขณะใดที่เป็นทุกข์เดือดร้อน ประสพกับ รูป ... ที่ไม่น่าพอใจ ใครทำ เมื่อไร ไม่ใช่ คนนั้น คนนี้ ในชาตินี้ทำให้ แต่ต้องทราบว่า อดีตกรรม ที่ได้กระทำแล้วเท่านั้นเอง เป็นปัจจัยให้ โสตปสาทรูปเกิด เป็นปัจจัยให้เสียงที่เกิดดับอย่างรวดเร็วนั้น กระทบกับโสตปสาทที่ยังไม่ดับ แล้วทำให้มีจิตที่ได้ยินเสียงที่ไม่น่าพอใจ ชั่วขณะ เป็นเรื่องของกรรมซึ่งไม่่มีใครสามารถจะหลีกเลี่ยงได้ ไม่ว่าจะเป้นทางตา หรือ ..... ทางกาย

เพราะฉะนั้น เมื่อเรี่มต้นชีวิตด้วยการเกิดขึ้น ปฏิสนธิ เพราะอวิชชาในอดีตเป็นปัจจัยให้เกิด สังขารในอดีต เพราะฉะนั้นสังขารในอดีต กรรมหนึ่ง ก็เป็นปัจจัยให้ปฏิสนธิจิต ในชาตินึ้เกิดขึ้น เมื่อปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น ก็มีนามธรรมและรูปธรรมเกิดพร้อมกันในภูมิที่มีขันธ์ ๕ เมื่อมี นาม รูป ก็มี สฬายตนะ และ สฬายตนะ ก็กำลังเป็นปัจจัยแก่ เวทนา ความรู้สึกในขณะนี้ ซึ่งบางคนอาจจะหลงลืม ไม่ได้พิจารณาความรู้สึกต่างๆ ในขณะนี้ แต่เมื่อมีผัสสะ กระทบกับ สฬายตนะ ก็เป็นปัจจัยให้เวทนาเกิดขึ้น มีความสุข หรือ มีความทุกข์ โสมนัส หรือ โทมนัส หรือ ว่า อุเบกขาเฉยๆ ก็เป็นสภาพธรรมซึ่งต้องเกิด ไม่มีใครยับยั้งว่า เมื่อ ผัสสะ กระทบแล้ว จะไม่ให้มีเวทนา

เพราะฉะนั้น ในขณะนี้เองก็มีเวทนาซึ่งแล้วแต่ว่า เวทนาในขณะนี้เป็นปัจจัยแก่ ตัณหา หรือไม่ ถ้าเป็นปัจจัยแก่ตัณหาซึ่งเป็นไปใน สังสารวัฏฏ์ ก็เป็นเรื่องของการเกิดอีกๆ ๆ ไม่จบ จนกว่าจะเป็นหนทางที่รู้สภาพธรรม จึงจะเป็นหนทางดำเนินไปสู่ทางดับ ซึ่งเป็น สัมมาปฏิปทา

ซึ่งทุกคนก็สามารถจะพิจารณาได้ว่าส่วนใหญ่ในวันหนึ่งๆ ซึ่งผัสสะเป็นปัจจัยให้เกิด เวทนา เวทนาเป็นปัจจัยให้เกิดอะไร สำหรับทุกคนค่ะ ส่วนใหญ่เป็นปัจจัยให้เกิดตัณหาแน่นอน มีใครคิดว่าไม่จริง หรือมีใครปฏิเสธ เมื่อมีตัณหาก็เป็นปัจจัย ให้เกิดอุปาทาน อุปาทานเป็นปัจจัยให้เกิด ภพ คือ กรรมภพ ภพเป็นปัจจัยให้เกิด ชาติ ชาติเป็นปัจจัยให้เกิด ชรา พยาธิ มรณะ โสก ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส

ท่านที่ยังไม่แก่ ยังไม่เจ็บ ยังไม่ทุกข์ ยังไม่ตาย ก็ไม่รู้สึกว่าชีวิตในขณะนี้สั้นและเล็กน้อยมาก และเพียงชั่งขณะที่เห็นบ้างได้ยินบ้าง ..... รู้สี่งที่กระทบสัมผัสบ้าง คิดนึกบ้าง แต่ละขณะซึ่งเกิด แล้วก็ดับ แล้วก็จะไม่กลับมาอีกเลย สภาพธรรมใดซึ่งเกิดเพราะเหตูปัจจัย เมี่อดับแล้วก็ดับเลย แต่ละขณะ ท่านที่ยังไม่แก่ก็กำลังเคลื่อนไป ก้าวไปสู่ ชรา ท่านที่ยังไม่เจ็บ ไม่มีพยาธิใดๆ กำลังเคลื่อนไปก้าวไปสู่พยาธิ ท่านที่ยังไม่มี โสก ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส คือทุกข์ทั้งมวล ก็ควรจะรู้ว่า แต่ละขณะไม่ได้อยู่นี่งเลย กำลังก้าวไปสู่แล้ว แต่ว่า โศกน้อยหรือมาก ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส น้อยหรือมาก แต่ทุกคนก็ไม่พ้นจาก ชรา พยาธิ และ มรณะ



ความคิดเห็น 1    โดย pamali  วันที่ 30 พ.ย. 2553

ขอนอบน้อมพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบท่าน อจ. ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณหมอ ... การได้ศึกษาพระธรรมที่ประเสริฐ ถือว่าเป็นเช้าที่เป็นมงคลยิ่งนัก

ขอบพระคุณ


ความคิดเห็น 2    โดย จักรกฤษณ์  วันที่ 30 พ.ย. 2553

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 3    โดย pirmsombat  วันที่ 30 พ.ย. 2553

ขอบคุณและอนุโมทนาทุกท่านครับ


ความคิดเห็น 4    โดย aditap  วันที่ 30 พ.ย. 2553

ขอขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 5    โดย Jesse  วันที่ 30 พ.ย. 2553

ขอขอบพระคุณและอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย prakaimuk.k  วันที่ 30 พ.ย. 2553

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 7    โดย chatchai.k  วันที่ 19 ส.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ