พระโพธิสัตว์เคยเกิดเป็นเปรตบ้างหรือเปล่า?
โดย acsmaster  3 ต.ค. 2566
หัวข้อหมายเลข 46636

ในระหว่างที่พระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีอยู่เคยเกิดเป็นเปรตบ้างหรือเปล่าครับ? ถ้าเคย พอจะมีตัวอย่างไหมครับ? ขอบพระคุณครับ



ความคิดเห็น 1    โดย khampan.a  วันที่ 4 ต.ค. 2566

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระโพธิสัตว์ คือ ผู้ที่ข้องอยู่ในการตรัสรู้ บำเพ็ญบารมีคุณความดีประการต่างๆ เพื่อถึงการตรัสรู้ พระโพธิสัตว์มี ๒ ประเภท คือ

๑. นิยตพระโพธิสัตว์ คือ พระโพธิสัตว์ที่ได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ว่า จะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต ย่อมเที่ยงแท้ คือ แน่นอน ต่อการที่จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต เช่น พระโพธิสัตว์ในพระชาติที่เกิดเป็นสุเมธดาบส

๒. อนิยตพระโพธิสัตว์ คือ พระโพธิสัตว์ที่ยังไม่เคยได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ เลยว่าจะได้เป็นพระพุทธแจ้า เพียงแต่มีความตั้งใจที่จะสะสมอบรมเจริญบารมีด้วยการคิดอยู่ในใจและการเปล่งวาจา ซึ่งใช้เวลาหลายอสงไขย แต่ก็ยังไม่แน่ว่าจักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต

การเกิดเป็นเปรตของพระโพธิสัตว์ ก็ย่อมเป็นไปได้ ตามควรแก่เหตุคืออกุศลกรรมที่ได้กระทำแล้ว มีข้อความแสดงไว้ชัดเจนว่า พระโพธิสัตว์ได้เสวยทุกข์ในอบายภูมิทั้ง ๔ (ซึ่งอบายภูมิทั้ง ๔ ก็รวมถึงการเกิดเป็นเปรตด้วย)

อย่างเช่นข้อความใน พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๑ หน้าที่ ๒๓๒ ดังนี้
ได้ยินว่า ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลหนึ่งเพราะอำนาจชาติและ เพราะความเป็นอันธพาล เห็นสาวกทั้งหลายของพระผู้มีพระภาคเจ้าผุสสะ ฉันข้าวน้ำอันอร่อย และโภชนะแห่งข้าวสาลีเป็นต้น จึงด่าว่า เฮ้ย! พวกสมณะโล้น พวกท่านจงกินข้าวแดงเถอะอย่ากินโภชนะแห่งข้าวสาลีเลย. เพราะวิบากแห่งอกุศลกรรมนั้น พระโพธิสัตว์จึงเสวยทุกข์อยู่ในอบายทั้ง ๔ หลายพันปี ...


หลังจากที่พระโพธิสัตว์ได้รับการพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ก็เป็นพระโพธิสัตว์แน่นอนที่จะได้ตรัสรู้ (นิยตโพธิสัตว์) มีคุณสมบัติมากมาย ตามข้อความในพระไตรปิฎก ดังนี้

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๕ - หน้าที่ ๑๐๙

พระโพธิสัตว์ผู้มีอภินิหาร (ตั้งความปรารถนาถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) สำเร็จแล้วอย่างนี้แล ย่อมไม่ถึงอภัพฐานะ ๑๘ ประการ จริงอยู่ พระโพธิสัตว์นั้น จำเดิมแต่นั้น ย่อมไม่เป็นคนบอดแต่กำเนิด ๑ ไม่เป็นคนหนวกแต่กำเนิด ๑ ไม่เป็นคนบ้า ๑ ไม่เป็นคนใบ้ ๑ไม่เป็นคนแคระ ๑ ไม่เกิดในชนชาติมิลักขะ ๑ ไม่เกิดในท้องของนางทาสี ๑ ไม่เป็นคนนิยตมิจฉาทิฏฐิ ๑ ไม่เป็นคนกลับเพศ ๑ ไม่ทำอนันตริยกรรมห้าอย่าง ๑ ไม่เป็นคนโรคเรื้อน ๑ อัตภาพสุดท้ายไม่เวียนมาในกำเนิดดิรัจฉาน ๑ ไม่มีอัตภาพใหญ่กว่าช้าง ๑ ไม่เกิดในขุปปิปาสิกเปรตและนิชฌามตัณหิกเปรต ๑ ไม่เกิดในจำพวกกาลกัญชิกาสูรทั้งหลาย ๑ ไม่เกิดในอเวจีนรก ๑ ไม่เกิดในโลกันตริกนรก ๑ ไม่เป็นมารในสวรรค์ชั้นกามาวจร ไม่เกิดในอสัญญีภพในรูปาวจรภูมิ ไม่เกิดในภพสุทธาวาส ไม่เกิดในอันติมภพ ไม่ก้าวไปสู่จักรวาลอื่น ๑


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้าที่ ๖๙๑

พระนิยตโพธิสัตว์ ถึงพร้อมด้วยองค์ครบถ้วนอย่างนี้ แม้ท่องเที่ยวไปตลอดกาลยาวนานนับร้อยโกฏิกัปป์ ก็ไม่เกิดในอเวจี และในโลกันตริกนรก ไม่เกิดเป็นนิชฌามตัณหิกเปรต ขุปปิปาสิกเปรต กาฬกัญชิกาสูร แม้เข้าถึงทุคติ ก็ไม่เป็นสัตว์ขนาดเล็ก เมื่อเกิดในหมู่มนุษย์ ก็ไม่เป็นคนตาบอดแต่กำเนิด โสตก็ไม่วิกลบกพร่อง ไม่เป็นคนประเภทใบ้ ไม่เป็นสตรี ไม่เป็นคนสองเพศ และไม่เป็นบัณเฑาะก์. พระนิยตโพธิสัตว์ ไม่เป็นผู้นับเนื่องดังกล่าว พ้นจากอนันตริยกรรม มีโคจรบริสุทธิ์ในภพทั้งปวง ไม่เสพมิจฉาทิฏฐิ มีความเห็นว่ากรรมเป็นอันทำมีผล แม้อยู่ในสวรรค์ทั้งหลาย ก็ไม่เข้าถึงอสัญญีภพ ทั้งไม่มีเหตุที่ไปเกิดในเทพชั้นสุทธาวาส เป็นผู้น้อมไปในเนกขัมมะ เป็นสัตบุรุษ ไม่เกาะเกี่ยวในภพใหญ่น้อย บำเพ็ญแต่โลกัตถจริยาทั้งหลาย บำเพ็ญบารมีทั้งปวง
... ยินดีในกุศลของคุณacsmasterและทุกๆ ท่านด้วยครับ ...


ความคิดเห็น 2    โดย chatchai.k  วันที่ 5 ต.ค. 2566

ยินดีในกุศลจิตครับ


ความคิดเห็น 3    โดย chatchai.k  วันที่ 8 ต.ค. 2566

บุพกรรมของพระผู้มีพระภาค ใน ขุททกนิกาย อปทาน พุทธาปทาน ชื่อปุพพกัมมปิโลติที่ ๑๐ ข้อ ๓๒๙ ความว่า

พระผู้มีพระภาค ผู้เป็นนายกของโลก แวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์เป็นอันมาก ประทับนั่งอยู่ที่พื้นหินอันเป็นรัมณียสถาน โชติช่วงด้วยแก้วต่างๆ ในละแวกป่าอันมีกลิ่นหอมต่างๆ ใกล้สระอโนดาต ตรัสชี้แจงบุรพกรรมทั้งหลายของพระองค์ ณ ที่นั้น

ซึ่งข้อความเป็นเรื่องของการกล่าวตู่ การกล่าวตู่ ก็เป็นทุจริตกรรม เป็นอกุศลกรรม ซึ่งในครั้งหนึ่งพระผู้มีพระภาคก็ได้ทรงกระทำ และได้รับผลในชาติที่เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ในชาติอื่น ในกาลก่อนเราเป็นนักเลงชื่อปุนาลิ ได้กล่าวตู่พระปัจเจกพุทธเจ้า ชื่อว่าสุรภี ผู้ไม่ประทุษร้ายตอบ ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราท่องเที่ยวอยู่ในนรกเป็นเวลานาน ได้เสวยทุกขเวทนาแสนสาหัสหลายพันปีเป็นอันมาก ด้วยผลกรรมอันเหลือนั้น ในภพหลังสุดนี้ เราจึงได้คำกล่าวตู่เพราะเหตุแห่งนางสุนทริกา

เพราะการกล่าวตู่พระเถระนามว่านันทะ สาวกของพระพุทธเจ้าผู้ครอบงำอันตรายทั้งปวง เราจึงท่องเที่ยวอยู่ในนรกสิ้นกาลนาน เราท่องเที่ยวอยู่ในนรกเป็นเวลานานถึงหมื่นปี ได้ความเป็นมนุษย์แล้ว ได้รับการกล่าวตู่เป็นอันมาก ด้วยผลกรรมที่เหลือนั้น นางจิญจมาณวิกามากับหมู่ชน ได้กล่าวตู่เราด้วยคำอันไม่จริง

เพราะฉะนั้น ถ้าท่านได้กระทำมุสาวาท การกล่าวตู่ หรือว่าวจีทุจริตอื่นๆ และยังมีภพชาติต่อไป ท่านก็จะได้รับผลในชาติหนึ่งชาติใด หรือแม้ในปัจจุบันนี้ก็ได้ ซึ่งขณะใดที่ได้รับ ก็ควรที่จะได้ทราบว่า เป็นผลกรรมในอดีตที่ท่านได้กระทำทุจริตกรรมเช่นนั้นมา

ข้อความตอนหนึ่ง พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ในกาลก่อน เราเป็นนายทหารราบ (เป็นแม่ทัพ) ฆ่าบุรุษเป็นอันมากด้วยหอก ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราถูกไฟไหม้อย่างเผ็ดร้อนอยู่ในนรก ด้วยผลอันเหลือแห่งกรรมนั้น บัดนี้ไฟนั้นยังมาไหม้ผิวหนังที่เท้าของเราทั้งสิ้น (อีก) เพราะว่ากรรมยังไม่พินาศไป

ในกาลก่อน เราเป็นเด็ก ลูกของชาวประมง อยู่ในบ้านเกวัฏฏคาม เห็นคนทั้งหลายฆ่าปลาแล้ว เกิดความโสมนัส ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ความทุกข์ที่ศีรษะ (ปวดศีรษะ) ได้มีแล้วแก่เรา ในเมื่อเจ้าศากยะทั้งหลายถูกเบียดเบียน พระเจ้าวิฏฏุภะฆ่าแล้ว

ข้อความตอนหนึ่ง พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

เมื่อก่อนเราเป็นหมอรักษาโรค ได้ถ่ายยาให้เศรษฐีบุตร (ตาย) ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น โรคปักขันทิกาพาธจึงมีแก่เรา

ข้อความตอนท้าย พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

(บัดนี้) เราเป็นผู้สิ้นบาปและบุญ เว้นจากความเร่าร้อนทั้งปวง ไม่มีความเศร้าโศก ไม่คับแค้น เป็นผู้ไม่มีอาสวะ จักนิพพาน

พระชินเจ้าทรงบรรลุกำลังแห่งอภิญญาทั้งปวงแล้ว ทรงพยากรณ์โดยทรงหวังประโยชน์แก่ภิกษุสงฆ์ ที่สระใหญ่อโนดาต ด้วยประการฉะนี้แล

ทราบว่า พระผู้มีพระภาคได้ทรงภาษิตธรรมบรรยายพุทธาปทานชื่อ ปุพพกรรมปิโลติ อันเป็นบุพจารีตของพระองค์ ด้วยประการฉะนี้แล

ท่านผู้ฟังไม่มีอภิญญา ระลึกชาติไม่ได้ เวลาที่ท่านได้รับอกุศลวิบากทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ก็ไม่ทราบว่าเกิดขึ้นเป็นเพราะอกุศลกรรมอะไร แต่ไม่พ้นจากอกุศลกรรมที่ได้กระทำแล้ว เพราะเหตุว่าเมื่อเหตุปัจจัยมี แม้ว่าจะดับไปแล้วในอดีต แต่ก็สามารถที่จะทำให้วิบากซึ่งเป็นผลเกิดขึ้น เมื่อสมควรแก่กาลเวลา ไม่ว่าท่านจะมีอาชีพอะไร ซึ่งเป็นเรื่องของสังสารวัฏฏ์ที่เกิดขึ้นเป็นไปตามการสะสมของจิตของแต่ละบุคคลที่ได้กระทำมา

เพราะฉะนั้น ควรที่จะฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ให้เกิดความเห็นถูกตามสภาพธรรมตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้สามารถที่จะละอกุศลธรรมได้ ถ้าเข้าใจผิด เห็นผิด ก็ไม่สามารถละอกุศลธรรมได้เลย

ที่มา ฟัง และ อ่านเพิ่มเติม ...

แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 333

บุพจริยาของพระพุทธองค์


ความคิดเห็น 4    โดย chatchai.k  วันที่ 9 ต.ค. 2566

การได้รับผลของกรรมแต่ละขณะนั้น เกิดขึ้นมาจากการกระทำตั้งแต่ครั้งไหน เมื่อไร ยังไง เพื่อที่จะให้เห็นพระมหากรุณาคุณของพระผู้มีพระภาค ซึ่งทรงพระมหากรุณาแสดงอดีตกรรมของพระองค์เอง

ในขุททกนิกาย ในพุทธาปาทาน ชื่อ ปุพพกัมฺปิโลติ ที่ ๑๐ จะไม่กล่าวถึงบุพกรรมของพระผู้มีพระภาคที่ทรงแสดงไว้ทั้งหมด จะกล่าวเพียงบางข้อบางประการเท่านั้น ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคแวดล้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์เป็นอันมาก ตรัสชี้แจงบุพกรรมทั้งหลายของพระองค์ ณ ที่นั้นว่าดูกร ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟังกรรมที่เราทำแล้วของเรา กรรมแรกที่พระผู้มีพระภาคทรงปรารถนา การเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นครั้งแรกนั้น ก็ในสมัยที่ชาติหนึ่ง ที่พระองค์ทรงเห็นภิกษุผู้ถืออยู่ป่าเป็นวัตรรูปหนึ่ง แล้วได้ถวายผ้าเก่าพร้อมกันนั้นก็ปรารถนาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผลของกรรมอันนั้น ก็ได้อำนวยให้ได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในชาติสุดท้าย

อันนั้นเป็นความปรารถนาที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครั้งแรกของพระองค์ ในกาลก่อน พระองค์เป็นนายโคบาล ต้อนโคไปเลี้ยง เห็นแม่โคกำลังดื่มน้ำขุ่นมัว จึงห้าม ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ในภพหลังสุดนี้ แม้พระองค์จะกระหายน้ำ ก็ไม่ได้ดื่มน้ำตามปรารถนา อันนี้เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แม้แต่การห้ามแม่โคที่กำลังดื่มน้ำที่ขุ่นมัว ก็สามารถที่จะเป็นเหตุเป็นปัจจัย ให้ได้รับผลของกรรมในชาติหลังๆ ได้ ฉะนั้น ภพชาติเป็นสิ่งที่น่ากลัวจริงๆ ตั้งแต่เกิดมา ถ้านึกย้อนถึงอดีตกรรม คนทำอะไรคงทำยิ่งกว่านี้ ยิ่งกว่าห้ามโคที่กำลังดื่มน้ำขุ่นมัว ฉะนั้น ก็แล้วแต่ว่ากรรมนั้นจะทำให้เกิดในภพไหน ภูมิไหน ก็เป็นเรื่องของวัฏฏะ

ในชาติอื่นในกาลก่อน เป็นนักเลงชื่อ ปุนนานิ ได้กล่าวตู่พระปัจเจกพุทธเจ้าชื่อว่า "สุรภี" ผู้ไม่ประทุษร้ายตอบ ด้วยวิบากนั้น ท่องเที่ยวอยู่ในนรกเป็นเวลานานด้วยผลกรรมอันเหลือนั้น ในภพหลังสุดนี้ พระองค์จึงได้รับคำกล่าวตู่เพราะเหตุแห่งนางสุนทริกา เพราะฉะนั้น ถึงแม้จะบำเพ็ญบารมีพากเพียรนานนับไม่ถ้วนอย่างไรก็ตาม เมื่อยังมีเหตุปัจจัย คือภพชาติ ก็ย่อมจะได้รับผลของกรรมนั้น ในกาลก่อน เพราะการกล่าวตู่พระเถระนามว่า นันทะ

สาวกของพระผู้มีพระภาคในสมัยนั้น จึงท่องเที่ยวในนรกนานถึงหมื่นปี เป็นมนุษย์แล้วได้รับการกล่าวตู่เป็นอันมาก ด้วยผลกรรมที่เหลือ นางจิญจมาณวิกากับหมู่ชนได้กล่าวตู่พระผู้มีพระภาคด้วยถ้อยคำไม่จริง ในกาลก่อน พระผู้มีพระภาคฆ่าพี่น้องชายต่างมารดา เพราะเหตุแห่งทรัพย์ จับใส่ลงในซอกเขาแล้วบดคือทับด้วยหิน ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น พระเทวทัตจึงผลักก้อนหินลงมากระทบนิ้วหัวแม่เท้าจนห้อเลือด ในกาลก่อน เป็นเด็กเล่นอยู่ที่หนทางใหญ่ เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว ใส่ไฟเผาทั่วหนทาง ด้วยวิบากกรรมนั้น ในภพหลังสุดนี้ พระเทวทัตจึงชักชวนนายขมังธนูผู้ฆ่าคนตายมาก เพื่อให้ฆ่าพระองค์

ที่ทรงแสดงอดีตกรรมของพระองค์ ก็เพราะว่า ในสมัยนั้นมีผู้รู้มีผู้เห็นการกระทำของนางสุนทรี ของนางจิญจมาณวิกา หรือว่าของพระเทวทัต ซึ่งเมื่อมีเหตุการณ์ปรากฏอย่างนั้น พระผู้มีพระภาคผู้ทรงมีพระสัพพัญญุตญาณ ก็ทรงแสดงให้เห็นถึงอดีตที่ผ่านมาว่า เป็นเพราะกรรมอะไร ในกาลก่อน พระผู้มีพระภาคได้บริภาษพระสาวกทั้งหลาย ในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่า ผุสสะ ว่าท่านทั้งหลายจงเคี้ยว จงกินแต่ข้าวแดง อย่ากิน ข้าวสาลีเลย ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น พระองค์อันพรามหณ์นิมนต์แล้ว อยู่ในเมือง เวรัญชา บริโภคข้าวแดงตลอด ๓ เดือน

ครั้งหนึ่ง พระผู้มีพระภาคในชาติที่ชื่อว่า โชติปาละ ได้กล่าวกะพระสุคตเจ้าพระนามว่า กัสปะ ในกาลนั้นว่า จักมีโพธิมณฑลแต่ที่ไหน โพธิญาณท่านได้ยากอย่างยิ่ง ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น พระองค์ได้ประพฤติกรรมอันทำได้ยากมาก คือทุกกรกิริยา ที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคมตลอด ๖ ปี แต่นั้นจึงได้บรรลุโพธิญาณ แต่พระองค์ก็มิได้บรรลุพระโพธิญาณอันสูงสุด ด้วยหนทางนี้ พระองค์อันบุพกรรมตักเตือนแล้ว จักพึง แสวงหาโพธิญาณโดยทางที่ผิด หมายความถึงตอนที่ทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยา บัดนี้ พระองค์เป็นผู้สิ้นบาปและบุญ เว้นจากความเร่าร้อนทั้งปวง ไม่มีความเศร้าโศก ไม่มีความคับแค้น เป็นผู้ไม่มีอาสวะ จักนิพพาน พระชินเจ้าทรงบรรลุกำลังแห่งอภิญญาทั้งปวงแล้ว ทรงพยากรณ์โดยหวังประโยชน์แก่ ภิกษุสงฆ์ด้วยประการฉะนี้ แล นี่เป็นเรื่องที่แสดงอดีตกรรม ก็จะได้ให้ท่านเห็นว่า ควรจะต้องสำรวมกาย วาจา ใจ เจริญกุศลทุกประการ ไม่ให้เกิดความเห็นผิด ไม่ให้มีการพูดผิด หรือว่าไม่ให้มีการประพฤติผิด เพราะว่า เรื่องของการที่จะขัดเกลากิเลสจนกว่าจะบรรลุความเป็นอริยบุคคลนั้น เป็นเรื่องที่จะต้องเจริญมากๆ บ่อยๆ เนืองๆ ด้วย

ที่มา ฟัง และ อ่านเพิ่มเติม ...

แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 13


ความคิดเห็น 5    โดย chatchai.k  วันที่ 9 ต.ค. 2566

แม้พระผู้มีพระภาคเองและพระภิกษุสงฆ์ ก็ได้ประสพผลของกรรมที่ได้กระ ทำไว้แล้วในอดีตซึ่งมีทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรม แล้วแต่กรรมใดจะให้ผลในขณะใด โดยเฉพาะเรื่องอาหาร ก็พิสูจน์ได้จากชีวิตของทุกๆ คนในครั้งนี้ด้วย ไม่ใช่แต่เฉพาะในครั้งพุทธกาลเท่านั้น

ขอกล่าวถึงบุพกรรมของพระผู้มีพระภาค ที่ทำให้พระองค์ต้องเสวยข้าวแดงตลอด ๓ เดือน

ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ พุทธาปทาน ชื่อ ปุพพกัมมปิโลติ ที่ ๑๐ (ข้อ ๓๙๒) พระผู้มีพระภาคตรัสชี้แจงบุพกรรมทั้งหลายของพระองค์ แก่ภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย ซึ่งพระพุทธดำรัสตอนหนึ่งมีว่า

เราได้บริภาษพระสาวกทั้งหลายในศาสนาของพระพุทธเจ้า พระนามว่า ผุสสะว่า ท่านทั้งหลายจงเคี้ยว จงกินแต่ข้าวแดง แต่อย่ากินข้าวสาลีเลย ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราอันพราหมณ์นิมนต์แล้ว อยู่ในเมืองเวรัญชา บริโภคข้าวแดงตลอด ๓ เดือน

ถ้ายังมีวัฏฏะอยู่ บางครั้งก็จะเห็นสิ่งที่ดี บางครั้งก็ได้เห็นสิ่งที่ไม่ดี หรือบางครั้งก็ได้ยินเสียงที่ดี บางครั้งก็ได้ยินเสียงที่ไม่ดี บางครั้งก็ได้กลิ่น ลิ้มรส ได้โผฏฐัพพะที่ดี บางครั้งก็ได้กลิ่น ลิ้มรส ได้โผฏฐัพพะที่ไม่ดี

เป็นเรื่องธรรมดาซึ่งทุกคนจะต้องประสพตามความเป็นจริง แล้วขอให้พิจารณาถึงพระมหากรุณาของพระผู้มีพระภาค ซึ่งถึงแม้ว่าเวรัญชพราหมณ์จะ ไม่ได้ถวายไทยธรรมตลอดไตรมาสที่จำพรรษาอยู่ที่เมืองเวรัญชาเลย แต่เมื่อพระองค์ได้ไปบอกลาเวรัญชพราหมณ์นั้น ก็ยังทรงชี้แจงให้เวรัญชพราหมณ์เห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถา

ที่มา ฟัง และ อ่านเพิ่มเติม ...

แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 151


ความคิดเห็น 6    โดย acsmaster  วันที่ 15 ต.ค. 2566

กราบขอบพระคุณอาจารย์คำปั่นและอาจารย์ฉัตรชัยมากครับ