ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
ได้คุยเรื่องนรกกับลูกชาย เขาเคยถามว่ามีจริงหรือไม่ ก็ได้อธิบายตามนี้ครับ
- ผู้ที่ทำบาปกรรมย่อมตกลงสู่นรก ตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้
- การที่เรามองไม่เห็น ไม่ใช่ว่าสิ่งนั้นจะไม่มี เพราะมีผู้ที่รู้ยิ่งกว่าสามารถมองเห็นได้ เช่น ผู้ที่ได้ความสงบระดับสูง มีตาทิพย์ เป็นต้น ผู้ที่เป็นมนุษย์ทั่วๆ ไป ไม่ได้มีคุณวิเศษอะไร ไปไม่ได้ แต่ก็มีมนุษย์ผู้ที่สะสมบุญมาแล้ว ที่เคยไปนรก หรือสวรรค์ ด้วยฤทธิ์ของเทวดา เช่น พระเจ้าเนมิราช เป็นต้น
- การที่จะไปสู่นรก ถ้ากระทำบาปมากพอในชาตินี้ ถ้าไปเกิดที่นั่น ก็จะเป็นเครื่องพิสูจน์เอง
พอดีว่า ไปพบเจอข้อความในอรรถกถามณีโจรชาดก ที่อ่านให้ลูกฟัง แสดงข้อความเกี่ยวกับ "มหานรก ๘ ขุม และ อุสสทนรก ๑๖ ขุม" อยากจะถาม อาจารย์วิทยากรให้ช่วยแก้ปัญหาด้วยดังต่อไปนี้
1. ในพระไตรปิฎกเรื่อง มหานรก อุสสทนรก หรือ ยมโลก นรกทั้ง ๓ ประเภท นั้นกล่าวแสดงไว้โดยละเอียดในเล่มใด และนรกทั้ง ๓ ประเภทนี้ต่างกันอย่างไร สัตว์ที่มาจากมหานรก ไปสู่อุสสทนรก ต้องตายก่อนหรือไม่ หรือว่าหนีออกไปได้เลย
2. มาตลีเทพบุตร ที่แสดงนรก ให้กับพระเจ้าเนมิราช นั้น เป็นนรกประเภทใด เข้าใจว่าท่านจะไม่ได้ไปดูมหานรก
3. ข้อความว่า "เศษแห่งวิบากกรรม" หมายถึงอย่างไร คือ ต้องตายก่อนแล้วเกิดใหม่เพื่อชดใช้กรรมที่เหลือใช่หรือไม่ เช่น แสดงอยู่ในคัมภีร์ เปตวัตถุ สัฏฐิกูฏสหัสสเปตวัตถุ ที่ฆ่าพระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยการดีดหินใส่ ได้รับกรรมในอเวจีมหานรก และเหลือเศษ มาเกิดเป็นเปรตถูกค้อน ๖๐๐๐๐ ทุบวันละ ๓ เวลา เช้า เที่ยง เย็น อันนี้หมายถึงชดใช้ในนรกไม่หมด แล้วตายจากนรก มาเกิดเป็นเปรตก็ต้องชดใช้บาปกรรมที่ทำไปต่อให้หมดใช่ไหมครับ
ขอกราบอนุโมทนาครับ
ข้อความสรุป เรื่อง เนมิราชชาดก ในส่วนของนรกกัณฐ์ ขุททกนิกาย ภาค ๒ เล่ม ๒ อรรถกถาเนมิราชชาดกที่ ๔ แสดงสถานที่อยู่ของคนบาปดังนี้
1. ผู้ที่ด่าว่า หรือใช้กำลังประทุษร้ายผู้อื่นที่ด้อยกว่าด้วยกำลังร่างกาย ทรัพย์สมบัติ หรืออำนาจ เป็นต้น ผู้นั้นจะได้เกิดในนรกที่ชื่อว่า แม่น้ำเวตรณี เป็นแม่น้ำที่เกิดเพราะกรรมเป็นปัจจัย จะถูกนายนิรยบาลผลักลงสู่น้ำที่เต็มไปด้วยเครื่องประหารมากมาย เช่น เถาวัลย์มีหนามแหลมร้อนบ้าง ใบบัวเหล็กลุกเป็นไฟบ้าง
2. ผู้ที่ตระหนี่ ไม่ให้อะไรใครเลย และยังห้ามบุคคลอื่นให้ทาน และด่าว่าสมณพราหมณ์ จะไปสู่นรกที่มีสัตว์ เช่น สุนัข ๕ สี ตัวใหญ่เท่าช้าง ไล่กระทืบไปสู่พื้นร้อน และฉีกร่างกัดกิน เป็นต้น
3. ผู้ที่ด่าว่าทำร้ายผู้ที่สมบูรณ์ด้วยศีล และอาจาระ หรือผู้บริสุทธิ์ที่ปราศจากความผิด เป็นต้น จะไปสู่นรกที่มีนายนิรยบาลให้เดินบนแผ่นเหล็กร้อน และทุบตีที่แข็งจนแหลกละเอียด หรือถูกจับโยนห้อยหัวไปสู่โลหกุมภีนรกที่เป็นหม้อเหล็กร้อน
4. คนที่หลอกลวง เรี่ยไรเงินทอง เงินบริจาค อ้างว่าจะนำไปสร้างวิหาร เป็นต้น แต่จริงๆ ไม่ได้ทำอย่างนั้น แต่เอาทรัพย์ไปใช้เพื่อประโยชน์ตนเอง จะถูกผลักตกลงนรกหลุมถ่านเพลิงสูงเท่าเอว และถูกนายนิรยบาลเทถ่านเพลิงใส่จนไหม้ไปทั่วร่างกาย
5. คนที่ทำร้ายสัตว์ เช่น จับนกมาฆ่ากินเองบ้าง เอาไปขายบ้าง เป็นต้น จะไปสู่นรกที่นายนิรยบาลนำเชือกเหล็กร้อนมาผูกคอ และตัดคอด้วยท่อนเหล็กร้อน และโยนศรีษะลงไปในน้ำโลหะร้อน
6. คนที่หลอกขายข้าว ว่าจะให้ข้าวที่ดีแก่ผู้ซื้อ แต่ใส่ของปนเข้าไปเป็นแกลบบ้าง ดินบ้าง ทรายบ้าง จะไปสู่นรกที่มีแม่น้ำ ผู้นั้นถูกความร้อนแผดเผาให้ต้องดื่มน้ำ แต่เมื่อนำมือไปควักน้ำที่ตลิ่งมาดื่มกิน น้ำจะกลายเป็นแกลบร้อน ใบไม้ร้อนบ้าง เมื่อเข้าไปในร่างกายจะเผาจนทะลุสู่เบื้องล่าง
7. คนที่ลักขโมยทรัพย์ผู้อื่น ด้วยการลวงก็ดี การตัดเส้นทางเพื่อยึดทรัพย์ทั้งที่มีชีวิต (สัตว์เลี้ยงต่างๆ) และทรัพย์ที่ไม่มีชีวิตก็ดี (เงิน ทอง เป็นต้น) ผู้นั้นจะไปสู่นรกที่นายนิรยบาลดักล้อมเป็นวงรอบ เหมือนสัตว์ป่าถูกนายพรานล้อมรอบ และนำอาวุธยิงใส่ มีศร หอก หอกสามง่าม เป็นต้น
8. คนที่ฆ่าสัตว์เลี้ยง เช่น แกะ สุกร ปลา กระบือ เป็นต้น แล้ววางไปขายในร้านขายเนื้อเพื่อเลี้ยงชีพบ้าง จะไปสู่นรกที่นายนิรยบาลผูกคอผู้นั้นไว้ด้วยเชือกเหล็กร้อน และทุบตีด้วยอาวุธร้อน ลงสู่พื้นร้อน และถูกมีดสับเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
9. คนที่เพื่อนให้ที่อยู่ที่นอน แล้วยังรับจ้างลักขโมยทรัพย์สมบัติในบ้านเพื่อน จะรับโทษในนรกห้วงน้ำที่เป็นไปด้วยอุจจาระ ปัสสาวะหมักไว้นานชั่วกัปป์ ร้อนแรง และเมื่อทนหิวไม่ไหวก็ต้องบริโภคสิ่งเหล่านั้น
10. คนที่ฆ่า มารดา บิดา ฆ่าพระอรหันต์ (รวมไปถึงพุทธสาวกด้วย) เป็นคฤหัสถ์ที่ทำอนันตริยกรรม เป็นผู้พ่ายแพ้จากการรู้แจ้งธรรม จะไปสู่นรกห้วงน้ำที่เต็มไปด้วยหนอง เลือด ที่มีกลิ่นเน่าเหม็น ถูกความร้อนแผดเผาให้ได้กินเลือดและหนองนั้น
11. คนที่ตีราคาสินค้า โดยการรับสินบน เช่น การตีราคาให้สินค้ามีมูลค่าถูกลงโดยรับสินบนจากผู้ซื้อสินค้า เป็นต้น หรือเป็นคนขายของที่โกงตราชั่งด้วยตัวเองบ้าง พูดจาอ่อนหวานปกปิดการโกงบ้าง คล้ายการล่อปลาด้วยเหยื่อให้มากินเบ็ด ผู้นั้นจะลงสู่นรกที่ถูกเกี่ยวเบ็ดที่ลิ้น ถูกถลกหนังด้วยตะขอ ดิ้นรนน้ำลายไหลในนรก
12. หญิงที่ละจากสามีตนเอง มาคบหาชายอื่นด้วย ความยินดีและความสนุกเป็นเหตุ จะไปสู่นรกที่จมลงในแผ่นเหล็กร้อนถึงเอว ปรากฏภูเขาเหล็กร้อนกลิ้งมาบดทับช่วงบนของร่างกาย ให้เลือดไหล เหมือนอ้อยที่ถูกบีบด้วยเครื่องบีบน้ำอ้อย เมื่อภูเขานั้นวิ่งจากทิศหนึ่งไปสู่อีกทิศหนึ่งแล้วหยุด ร่างกายจะกลับสภาพเดิม และปรากฏภูเขาลูกอื่นๆ เข้ามาเพื่อบดทับต่อไป
13. ชายที่ล่วงเกินภรรยบุคคนอื่น จะไปสู่นรกที่เต็มไปด้วยหลุมถ่านเพลิงใหญ่ นายนิรยบาลจะทิ่มแทงเขาด้วยอาวุธ แล้วจับที่เท้าให้เอาหัวห้อย และโยนลงสู่หลุมถ่านเพลิงบ่อใหญ่
14. ผู้ที่มีความเห็นผิด มีความคิดว่า "ทานที่ให้ไม่มีผล การบูชาไม่มีผล คุณของบิดา มารดาไม่มี สมณพราหมณ์ผู้รู้แจ้งธรรมไม่มี สัตว์ที่ผุดเกิด (พวกเทวดา เปรต สัตว์นรก) ไม่มี โลกนี้ โลกหน้าไม่มี" ก็ทำกรรมลามกประเภทต่างๆ ตามความเห็นผิดนั้นๆ ก็ได้ความลำบากในนรก โดยที่มีรูปร่างที่แปลกแตกต่างกันไป บ้างสูง บ้างเตี้ย เป็นต้น
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เรื่องภพภูมิต่างๆ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงแสดง ซึ่งสามารถศึกษา สอบทานเทียบเคียงได้จากพระไตรปิฎก และอรรถกถา ภพภูมิซึ่งเป็นที่เกิดของหมู่สัตว์มีทั้งหมด ๓๑ ภพภูมิ คือ อบายภูมิ ๔ มนุษย์ ๑ สวรรค์ ๖ รูปพรหม ๑๖ และ อรูปพรหมภูมิ ๔ ซึ่งมีจริงๆ
สัตว์ที่เกิดในภพภูมินั้นๆ ก็มีจริงๆ อย่างเช่นที่เห็นๆ กันอยู่ คือ สัตว์ดิรัจฉาน และ มนุษย์ บางคนอาจจะคิดว่าคงจะไม่เป็นประโยชน์ ถ้ากล่าวถึงเรื่องของภพภูมิอื่นที่ไม่ปรากฏ แต่ตามความเป็นจริงแล้ว พระธรรมทั้งหมดมีอุปการะเกื้อกูลอย่างยิ่งแก่พุทธบริษัท เป็นประโยชน์ทุกยุคกาลสมัย เพื่อจะได้เป็นผู้ไม่ประมาท แล้วก็เจริญกุศลยิ่งขึ้นในชีวิตประจำวัน และ คงจะมีบุคคลเป็นจำนวนมากที่กล่าวว่า “ไม่เห็นนรก ไม่เห็นสวรรค์” แล้วสัตว์ดิรัจฉาน กับ มนุษย์ ล่ะ เคยเห็นบ้างไหม เคยรู้บ้างหรือไม่ว่า เป็นสัตว์โลกในภพภูมิ เช่นเดียวกัน โดยที่สัตว์ดิรัจฉานเป็นสัตว์ในอบายภูมิ ส่วนมนุษย์ เป็นสัตว์ในสุคติภูมิ ควรจะได้พิจารณาว่า เวลาที่สิ้นชีวิตลงแล้ว จะไปไหน จะไปเกิด ณ ที่ไหน?
ดังนั้น พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ทั้งหมด เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริง แม้แต่ในเรื่องของภพภูมิต่างๆ เมื่อได้ฟัง ได้ศึกษาแล้วก็ย่อมจะเป็นเครื่องเตือนให้เป็นผู้ไม่ประมาทในชีวิต ไม่ประมาทในการสะสมกุศล รวมถึงการอบรมเจริญปัญญา ด้วย เพื่อที่จะได้รู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง พ้นจากการที่จะต้องเกิดในอบายภูมิ รวมถึงพ้นจากการเกิดในภพภูมิอื่นๆ ทั้งหมดอีกด้วย ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก
ประเด็นคำถาม ขอกล่าวเพื่อประโยชน์ในการพิจารณาเป็นเบื้องต้น ดังนี้
1. ในพระไตรปิฎกเรื่อง มหานรก อุสสทนรก หรือ ยมโลก นรกทั้ง ๓ ประเภท นั้นกล่าวแสดงไว้โดยละเอียดในเล่มใด และนรกทั้ง ๓ ประเภทนี้ต่างกันอย่างไร สัตว์ที่มาจากมหานรก ไปสู่อุสสทนรก ต้องตายก่อนหรือไม่ หรือว่าหนีออกไปได้เลย
*มหานรก เป็นนรกขุมใหญ่มี ๘ ขุม มี สัญชีวนรก เป็นต้น
อุสสทนรก เป็นนรกที่ยัดเยียดเบียดเสียดเต็มไปด้วยสัตว์นรก เป็นนรกขุมย่อยๆ ที่อยู่รอบๆ มหานรก
ส่วนยมโลก จะแสดงครอบคลุมถึงอบายภูมิทั้ง ๔ เลย แต่บางแห่งจะเจาะจงถึงภพภูมิเปรต ครับ
สำหรับเรื่องนรกขุมต่างๆ มีมหานรก เป็นต้น สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ในสัจกิจจชาดกและอรรถกถา [เล่มที่ 62] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้าที่ ๑๕๖ เป็นต้นไป
2. มาตลีเทพบุตร ที่แสดงนรก ให้กับพระเจ้าเนมิราช นั้น เป็นนรกประเภทใด เข้าใจว่าท่านจะไม่ได้ไปดูมหานรก
*ข้อความในเนมิราชชาดก มาตลีเทพบุตรแสดงนรกให้กับพระเจ้าเนมิราช กล่าวถึง เวตรณีนรก ด้วย ซึ่งเป็นอุสสทนรก ไม่ใช่มหานรก ครับ
3. ข้อความว่า "เศษแห่งวิบากกรรม" หมายถึงอย่างไร คือ ต้องตายก่อนแล้วเกิดใหม่เพื่อชดใช้กรรมที่เหลือใช่หรือไม่ เช่น แสดงอยู่ในคัมภีร์ เปตวัตถุ สัฏฐิกูฏสหัสสเปตวัตถุ ที่ฆ่าพระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยการดีดหินใส่ ได้รับกรรมในอเวจีมหานรก และเหลือเศษ มาเกิดเป็นเปรตถูกค้อน ๖๐๐๐๐ ทุบวันละ ๓ เวลา เช้า เที่ยง เย็น อันนี้หมายถึงชดใช้ในนรกไม่หมด แล้วตายจากนรก มาเกิดเป็นเปรตก็ต้องชดใช้บาปกรรมที่ทำไปต่อให้หมดใช่ไหมครับ
*คำว่า "เศษแห่งวิบากกรรม" จะมุ่งหมายถึง การได้รับผลของอกุศลกรรมที่ยังเหลืออยู่ เพราะเหตุว่า อกุศลกรรมที่ได้กระทำแล้ว ให้ผลยังไม่หมด ยังมีโอกาสให้ผลอีก เหมือนอย่างตัวอย่างที่คุณวิทวัตยกมา นั้น ชัดเจนอย่างยิ่ง ครับ
... ยินดีในกุศลของคุณวิทวัตพร้อมบุตรชาย และทุกๆ ท่านด้วยครับ ...
กราบอนุโมทนาครับ จุดประสงค์สูงสุดเรื่องการแสดง ภพภูมิ คือการอบรมเจริญปัญญา เพื่อถึงความพ้นไปจากภพภูมิ เหล่านั้นครับ