- วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่สำคัญได้มีโอกาสจะระลึกถึงคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะว่า การระลึกถึงคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ว่าอยู่ที่ไหน ขณะใด ที่จะทำให้ระลึกถึงพระองค์ขณะนั้นก็เป็นการบูชาสูงสุด
- ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตามถ้ามีการกล่าวถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นโอกาสที่เราจะได้ระลึกถึงคุณของพระองค์
- วันนี้ก็มีโอกาสได้เห็นสถานที่ต่างๆ ที่เป็นดินแดนที่พระองค์ประทับและทรงแสดงพระธรรม
- ที่สำคัญที่สุด อยู่ไกลจากพระองค์แต่จะอยู่ใกล้เมื่อได้ฟังและเข้าใจทุกคำที่พระองค์ทรงตรัสรู้และทรงแสดงให้เราได้เข้าใจความจริงด้วย
- ในครั้งที่พระผู้มีพระภาคยังไม่ทรงดับขันธปรินิพพาน คนที่เดินทางไปเฝ้าพระองค์เพื่อฟังพระธรรม สถานที่ทุกสถานที่จะไร้ความสำคัญถ้าไม่มีการเข้าใจความจริงว่า เพราะเหตุใดสถานที่นั้นจึงเป็นที่สักการะบูชาของผู้คนมากมาย
ถ้าเป็นสถานที่ที่พระองค์ไม่ได้ประทับ ไม่ได้ทรงแสงดพระะรรมก็จะไม่มีใครระลึกถึงสถานที่นั้นได้
- ขณะใดก็ตามที่ได้ฟังพระธรรมแม้คำเดียวก็ทำให้ระลึกถึงพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแม้จะอยู่ไกล แม้ว่าสถานที่นี้จะไกลจากที่พระองค์ทรงประทับแต่เมื่อได้ฟังคำของพระองค์ก็เหมือนกำลังเฝ้าเฉพาะพระพักตร์ฟังคำนั้นๆ
- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมด้วยคำและภาษาที่คนในครั้งนั้นเข้าใจได้ แม้ว่าเป็นคำธรรมดาอย่างที่เคยได้ยินได้ฟังแต่ความหมายลึกซึ้งอย่างยิ่ง
- คำว่า “ธรรม” หมายความถึงสิ่งที่มีจริงๆ แต่ถ้าไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร ได้ยินคำนี้ก็ผ่านหูไปเป็นคำที่เพียงชินหูแต่ถ้าสามารถที่จะเข้าใจความหมายที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้และใช้คำนี้ก็สามารถที่จะเข้าใจได้ถูกต้องว่า แม้เป็นคำธรรมดาคำเดียวว่า ธรรม แต่ความลึกซึ้งนั้นเป็นการที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ต้องทรงบำเพ็ญพระบารมีนานแสนนานกว่ารู้ความจริงได้
- เพราะฉะนั้นเราจะเริ่มฟังคำชินหูแต่ว่าความหมายของคำลึกซึ้งอย่างยิ่ง แม้ว่าคำที่พระองค์ตรัสไม่ใช่ภาษาไทยที่เราใช้อยู่เป็นประจำแต่สามารถที่จะเข้าถึงความจริงของสิ่งที่พระองค์ตรัสรู้และทรงแสดง
- เริ่มรู้จักคำเดียวตั้งแต่ต้นคือคำว่า ธรรม ถ้าไม่เข้าใจในภษาของตนๆ ก็จะไม่รู้ว่า ธรรมคืออะไร แต่ธรรมหมายถึงสิ่งที่มีจริงๆ เรากำลังจะพูดถึงในภาษาของเราคือพูดถึงสิ่งที่มีจริงซึ่งพระองค์ตรัสเรียกว่า ธรรม
- ถ้าไม่ไตร่ตรอง มีใครจะสนใจสิ่งที่มีจริงบ้าง ถ้าไม่ฟังคำของพระองค์โดยความเคารพสูงสุดแต่ละคำ จะไม่รู้เลยว่า แม้แต่คำว่า สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ อะไรมีจริง
- ถ้าไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่รู้ว่า ขณะนี้อะไรมีจริง มีใครจะตอบบ้างไหม ขณะนี้อะไรมีจริงๆ แค่นี้ จะได้รู้ว่า รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วหรือยัง
- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงในโลกนี้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงก็คือสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้เดี๋ยวนี้เอง
- ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องไตร่ตรองถึงความลึกซึ้งของแต่ละคำ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ตามความเป็นจริง
- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้แต่หมายความว่าอะไรหมายความว่า คนอื่นไม่เคยรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้เลยใช่ไหม
- มีใครบอกได้ไหมว่า เดี๋ยวนี้อะไรมีจริงๆ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้
- น่าสนใจหรือไม่น่าสนใจก็กำลังมีเดี๋ยวนี้แหละ แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อะไรขอเชิญตอบสักท่าน
- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อะไร
- (ทรงตรัสรู้อริยสัจ ๔ คือ ทุกข์ สมุหทัย นิโรธ มรรค)
- เป็นคำตอบที่ชินหูมาก คือทุกคนตอบได้ แต่ว่าถ้าจะพิจารณาไตร่ตรองความลึกซึ้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อริยสัจ ๔ ใช่ไหม เป็นธรรมรึเปล่า
- (เป็นธรรมแต่ความลึกซึ้งต้องขยายความ (อริยสัจ ๔) เป็นธรรม)
- อริยสัจจธรรม ทุกคำต้องไตร่ตรอง สัจจะ คือความจริง เป็นความจริงที่ประเสริฐซึ่งไม่เคยรู้มาก่อนและสามารถที่จะรู้ความจริงอย่างประเสริฐ ทำให้บุคคลผู้รู้สามารถที่จะดับกิเลสได้ ยาวไหม อริยสัจจธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง สัจจธรรม ธรรมนั้นมีจริง อริยะ และเป็นความจริงที่ทำให้ผู้รู้ความจริงนั้นสามารถที่จะดับกิเลสได้ แค่นี้ลึกซึ้งไหม อยู่ไหน
- สัจจธรรม ความจริงของธรรม อะไรเป็นความจริงของสิ่งนั้น อะไรที่เป็นความจริงเมื่อผู้รู้สามารถที่จะดับกิเลสได้ จึงชื่อว่า อริยะ ประเสริฐที่สุด สัจจธรรม สิ่งที่มีจริงที่ประเสริฐที่สุดที่ทำให้บุคคลผู้ที่รู้จริงๆ ไม่ใช่คิดเอาจึงสามารถที่จะรู้จริงๆ ในสิ่งนั้นได้ เดี๋ยวนี้อยู่ไหนสัจจธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงความจริงให้คนอื่นเริ่มรู้ด้วย เป็นชื่อเฉยๆ ใช่ไหม
- (ถ้าภาษาอังกฤษเราจะใช้คำว่า the path of enlightenment ได้ไหม)
- เหมือนที่เราใช้ภาษาไทย หนทางที่จะทำให้รู้ความจริง แสดงว่าเดี๋ยวนี้ต้องมีสิ่งที่มีจริง มิฉะนั้นจะรู้อะไรถ้าไม่จริง แต่หนทางที่จะรู้ความจริงที่ทำให้ประจักษ์แจ้งจนดับกิเลสได้
- ได้ยินคำว่า กิเลส ก็อยากดับกิเลส ได้ยินคำว่า นิพพาน ก็อยากถึงนิพพานแต่ไม่รู้อะไรเลยแล้วจะดับกิเลสได้ไหม จะถึงนิพพานได้ไหมถ้ายังไม่รู้ว่า กิเลสคืออะไร เดี๋ยวนี้มีรึเปล่า
- ต้องเป็นผู้ที่ตรง รู้จักกิเลสหรือยัง
- เดี๋ยวนี้มีกิเลสไหม
- จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ต้องรู้ว่า กิเลสคืออะไร เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีกิเลสไหม ถ้าพระองค์ไม่ทรางแสดงใครจะรู้ว่า เดี๋ยวนี้ก็มีกิเลส
- กิเลสก็ไม่รู้แล้วจะดับกิเลสได้อย่างไร ต้องเป็นคนที่ตรง ต้องรู้จักกิเลสก่อน
- คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องเป็นความจริงซึ่งผู้ที่ไตร่ตรอง ตรงต่อความเป็นจริงจึงจะเริ่มรู้ถึงความจริงได้
- เพราะฉะนั้นลองคิดอีกที เดี๋ยวนี้ นั่งอยู่ตรงนี้มีกิเลสไหม
- ตอบไม่ได้เพราะอะไร
- (กิเลสฝ่ายมหายานที่ดิฉันนับถือมี กิเลสฝ่ายดี เช่น อยากให้ลูกเรียนหนังสือเก่งๆ อยากให้สามีเป็นสามีที่ดี เป็นความอยาก ส่วนฝ่ายเถรวาทเป็นกิเลสที่ติดลบ)
- ต้องตรง กิเลสเป็นมหายานรึเปล่า มหายานคืออะไร
- (นิกายในประเทศไทยแบ่งเป็น เถรวาท มหายาน และ วัชรญาน ถ้าอาจารย์บอกว่า กิเลสเป็นมหายานรึเปล่า น่าจะคนละเรื่องกันแต่มันอยู่ในเรื่องเดียวกันคือ พระพุทธศาสนา มนุษย์ 500 ล้านคนในโลกนี้เป็นมหายาน 75% คือ จีน ญี่ปุ่น ฯลฯ เป็นเถรวาท 20% และอีก 5% เป็นวัชรยานหรือพวกธิเบต)
- ความโกรธ มหายานหรือเถรวาท เป็นความจริง ไม่มีใครสามารถที่จะเปปลี่ยนลักษณะให้เป็นอย่างอื่นได้ นี่คือ สัจจธรรม สิ่งที่มีจริง เป็นจริงตามความเป็นจริงของสิ่งนั้น
- เพราะฉะนั้นสัจจธรรม ใช้ภาษาอังกฤษก็ได้ ภาษาไทยก้ได้ ภาษาจีนก็ได้ แต่หมายความถึงสิ่งที่มีจริงซึ่งใครก็เปลี่ยนสิ่งนั้นไม่ได้ ถูกต้องไหม
- ไม่ทราบยังมีข้อสงสัยไหม ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ใช้คำอะไรก็ได้ ภาษาใดก็ได้แต่เปลี่ยนลักษณะที่เป็นสิ่งนั้นให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้
- เปลี่ยนเห็นให้เป็นได้ยินได้ไหม กำลังเห็นเดี๋ยวนี้
- (ไปพร้อมๆ กันคือ อายตนะ ทั้ง ๖ มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อายาตนะที่ถูกขัดเกลาแล้วจะทำงานพร้อมๆ กันได้ และทำได้ดีคือการส่งสารแล้วแปลไปในทางที่เป็นบุญกุศล)
- แต่เรากำลังพูดให้รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ เห็น ถ้าไม่มีตา ไม่เห็น เพราะฉะนั้นจะพร้อมกันกับได้ยินไม่ได้ คนตาบอดแต่ได้ยินได้ถ้าเขามีเสียงกระทบหู เพราะฉะนั้นแต่ละ ๑ เกิดขึ้นเป็น ๑พร้อมกัน ๒ อย่างไม่ได้ จึงมี ๖ ทาง ทางตา ๑ ทางหู ๑ ทางจมูก ๑ ทางลิ้น ๑ ทางกาย ๑ แล้วใจก็คิดนึกตามสิ่งที่ได้เห็น ได้ยิน ทางใจรู้ได้หมดทุกอย่าง
- แม้แต่คำว่า อายตนะ ก็ต้องเข้าใจด้วย มิฉะนั้นเราก็เพียงพูดตามแต่ไม่รู้จริงๆ ว่าอายตนะคืออะไร เป็นธรรมหรือเปล่า และเป็นธรรมอะไร
- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงสิ่งที่มีจริงแต่ละ ๑ จนกระทั่งมีความเข้าใจชัดเจนว่า ๑ นั้นไม่ใช่อื่น และทั้งหมดแต่ละหนึ่งๆ นั้นมีอะไรบ้าง
- เพื่อให้รู้ความจริงว่า ขณะนั้นมีอะไรเป็นที่อาศัยที่จะต้องเกิดในที่นั้นด้วย
- วันนี้มีเวลาไม่มาก เพราะฉะนั้นถ้าเราจะได้มีความเข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพียงคำเดียวให้เข้าใจถูกต้องลึกซึ้งขึ้นบ้างก็จะเป็นประโยชน์
- ถ้าเราเข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแม้คำเดียวแต่เป็นคำที่ทำให้มีความเข้าใจถูกต้องก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งเพราะว่า ถ้าพระองค์ไม่ตรัสให้เราเข้าใจความหมายและความจริงของคำนี้ก็จะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ตรัสรู้อะไร
- แม้เพียงฟังคำสั้นๆ แต่เข้าใจขึ้นก็จะเป็นประโยชน์ เพราะฉะนั้นวันนี้ก็ขอให้เข้าใจคำว่า “ธรรม” เพิ่มขึ้น
- ไม่ว่าใครจะกล่าวคำว่าอะไรทั้งสิ้น จะใช้คำว่าธรรมกับคำว่า ยุติธรรม อยุติธรม หรือศีลธรรม ฯลฯ แต่ต้องเข้าใจความหมายของธรรมจริงๆ ที่แน่นอนว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริงๆ
- ฟังแล้วต้องไตร่ตรองเองด้วย ไม่ใช่ฟังแล้วลืม ธรรมคือสิ่งที่มีจริง เห็นเดี๋ยวนี้มีจริงๆ รึเปล่า
- เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปหาธรรมที่ไหนเลย มีธรรมอยู่ตลอดเวลา แสนโกฏิกัปป์มาแล้วก็มีเห็น ขณะนี้ก็มีเห็น ต่อไปก็เห็น เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริง ๑ อย่างคือ เห็น เป็นสิ่งที่มีจริง เป็นธรรม เป็นเรารึเปล่า ต้องเข้าใจต่อไปอีกจนกว่าจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่มขึ้น
- ได้ยิน กำลังได้ยินจริงๆ เป็นธรรม ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง ภาษาบาลีใช้คำว่า ธรรม
- ธรรมที่มีจริงเป็น สัจธรรมทั้งหมดเพราะมีจริงและพระองค์ทรงแสดงว่า ธรรมที่มีจริงต้องเกิดจึงมี ถ้าไม่เกิดจะมีไม่ได้เลย เมื่อเกิดแล้วก็ดับไป
- เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจความหมายคืออริยสัจจะที่ ๑ สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามขณะนี้มีเพราะเกิดแล้วดับทันทีเป็นทุกขอริยสัจจะ
- ความโกรธมีจริง ความคิดมีจริง ความสงสัยมีจริง ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรมแต่ละ ๑ ซึ่งเป็นอริยสัจจธรรม เมื่อรู้ความจริงว่า สิ่งนั้นที่กำลังเกิดเดี๋ยวนี้ดับทันที
- เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็เริ่มเข้าใจอริยสัจธรรมลางๆ เพราะเหตุว่า แม้มีอยู่ตลอดก็ไม่เข้าใจความจริงในขณะที่เกิดขึ้นแล้วดับไป
- แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อริยสัจ ๔ สัจจะที่ ๑ คือ ทุกขอริยสัจจะ หมายความว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ้งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา เดี๋ยวนี้เอง
- เริ่มรู้ความจริง เริ่มเห็นถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นต้องเกิด ไม่เกิดไม่มีเห็น แต่ไม่ได้มีเพียงเห็น ได้ยินคนละขณะ เพราะฉะนั้นขณะที่ได้ยินต้องไม่มีเห็น เพราะฉะนั้นหมายความว่า เห็นเดี๋ยวนี้ เกิดแล้วดับ จึงมีได้ยินเกิดแล้วดับด้วย
- พระองค์ทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังเป็นอย่างนี้เดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นคนที่ฟังยังไม่สามารถที่จะรู้ตามอย่างนี้ได้แต่เริ่มคิด เริ่มไตร่ตรองเพื่อที่จะรู้ว่า ผู้ที่บำเพ็ญพระบารมีที่จะตรัสรู้ความจริง ตรัสรู้ความจริงขณะนี้ตามที่พระองค์ได้ทรงแสดง
- การเกิดดับของสิ่งที่กำลังเกิดดับเดี๋ยวนี้เป็นจริง แต่รู้ยากเพราะลึกซึ้งอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษาโดยประการทั้งปวง เป็นเวลายาวนานเท่าไหร่ และแต่ละคำเป็นคำที่แสดงความลึกซึ้งของธรรมจนกว่าผู้นั้นจะเริ่มเข้าใจขึ้นตามที่พระองค์ทรงแสดงจึงเริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
- คำว่า แดนพุทธภูมิหมายความว่าอะไร ต้องเป็นที่ๆ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ ทรงแสดงพระธรรมและดับขันธปรินิพพาน ถ้าไม่มีการตรัสรู้ความจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่นั้นไม่มีความหมายเลย
- คนที่เดินทางไปสังเวชนียสถาน ถ้าไม่เข้าใจธรรมจะไม่รู้คุณค่าอย่างยิ่งของพระธรรม แม้ในสวรรค์ พรหมโลก หรือที่ไหน ก็ไม่มีที่นี้เลย
- การไปสังเวชนียสถานโดยไม่เข้าใจพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย่อมต่างจากเมื่อมีความเข้าใจพระธรรมแล้วจึงได้ไปยังสถานที่ๆ พระองค์ทรงแสดงพระธรรมเพื่อที่จะแสดงการเคารพบูชาอย่างสูงสุดที่ตนเองได้มีโอกาสเริ่มเข้าใจความจริง
- วันนี้ต้องขออภัย ได้มีโอกาสที่จะพูดถึงคำของพระองค์คำเดียวคือคำว่า ธรรม แต่พระธรรมที่ทรงแสดงไว้ถึง ๔๕ พรรษาก็มีมาก สำหรับวันนี้ก็ขอยินดีในกุศลของทุกท่าน
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบอนุโมทนาครับ
กราบอนุโมทนาครับ
ขอบคุณและยินดีในกุศลค่ะ
ขอบพระคุณ และยินดีในกุศลวิริยะของพี่ตู่ ปริญญ์วุฒิ ด้วยครับ
กราบอนุโมทนาครับ