ความคิดทีแตกต่างมาจากการสะสมที่ต่างกัน ไม่ว่าจะเห็นอะไรก็คิด ได้ยิน อะไรก็คิด ฯลฯ คิดดี เป็นกุศล ถ้าคิดไม่ดีก็เป็นอกุศล ขณะนั้นก็สะสมแล้ว ซึ่ง มีแบบนี้ทุกยุคทุกสมัย ทั้งหมดนี้ก็เป็นธรรมะ
ในพระไตรปิฏกก็มีแสดงไว้ เช่น พระพุทธเจ้า ถูกนางจิญจมาณวิกา นางสุนทรี นางมาคันฑิยา ใส่ร้าย ด่าว่า พระองค์ พระสารีบุตรผู้เลิศทางปัญญา ถูกพระโกกาลิกะ ด่าท่านว่าเป็นผู้มีความ ปรารถนาลามก ท่านพระมหากัจจายนะ ถูกวัสสการพราหมณ์ว่าท่านมีกิริยาอาการ เหมือนลิง ผู้ที่ด่าว่าพระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหมดไปอบายภูมิ นี้คือตัวอย่างผู้คิดไม่ดี
ส่วนตัวอย่างผู้ที่คิดดี เช่น เพื่อนของนางวิสาขา อนุโมทนายินดีในกุศลที่เพื่อนทำ จุติจากชาตินั้นก็ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดีงส์ ถ้าทำดี แล้วคนอื่นติเตียน คนนั้นก็ติเตียนเปล่า ถ้าทำไม่ดี แล้วคนอื่น จะสรรเสริญ ก็สรรเสริญเปล่า ค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ทุกชีวิต เป็นการเกิดขึ้นของสภาพธรรม คือ จิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต) และ รูป (สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร) ซึ่งไม่มีใครจะสามารถยับยั้งได้เลย ในชีวิตประจำวันก็จะเห็นได้ว่ากิเลส หรือ อกุศลธรรม เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ของกิเลสและอกุศลธรรมนั้นๆ อยู่ตลอดเวลาที่วิบากจิต หรือ กุศลจิตไม่เกิดขึ้น นี้คือความจริง แสดงให้เห็นเลยว่า ปุถุชนมักจะตกไปจากกุศล จริงๆ ขณะใดที่กุศลจิตไม่เกิด ขณะนั้นกิเลสระดับขั้นต่างๆ เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ ขณะที่จิตเป็นกุศลเท่านั้น ซึ่งคั่นกิเลสในชีวิตประจำวันชั่วครั้งชั่วขณะ กล่าวคือ ขณะที่เป็นไปในทาน เป็นไปในศีล เป็นไปในความสงบของจิต หรือ เป็นไปในการอบรมเจริญปัญญา ซึ่งเกิดน้อยมากในชีวิตประจำวัน
ตามความเป็นจริงแล้ว บุคคลที่ได้สะสมความคิดถูก ความเห็นถูก ความเข้าใจสภาพธรรมอย่างถูกต้อง บุคคลนั้นจะคิดไม่ดี ไม่เป็น คิดใส่ร้ายคนอื่นไม่เป็น คิดประทุษร้ายเบียดเบียนผู้อื่นไม่เป็น แต่จะคิดในทางทีดี ที่ถูกที่ควร คิดที่จะมีเมตตา เห็นใจคนอื่นซึ่งเป็นผู้ที่มีกิเลสด้วยกัน คิดเกื้อกูลกันและกัน และเห็นใครทำดี ก็ชื่นชมเสริญเสริญ เป็นต้น แต่ถ้าไม่ได้สะสมเหตุที่ดีมา ไม่เห็นประโยชน์ของกุศลธรรม ก็จะคิดในทางตรงกันข้าม คิดในทางที่เป็นอกุศล ซึ่งขณะนั้นก็เบียดเบียนทำร้ายตนเอง นั่นเอง ซึ่งไม่ควรเลยที่จะเป็นอย่างนี้ เมื่อมีชีวิตที่เกิดขึ้นเป็นไป มีกาย วาจา และ ใจ แล้ว ก็ไม่ควรที่จะมีไว้เพื่อพอกพูนอกุศลให้มากขึ้น แต่ควรที่จะเป็นไปในทางที่จะทำให้กุศลธรรม เจริญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ เห็นประโยชน์ของการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง สะสมความเข้าใจไปตามลำดับ เมื่อความเข้าใจเจริญขึ้น ความเข้าใจนี้แหละ จะเป็นเครื่องนำทางชีวิตที่ดี เป็นเครื่องคอยเตือนว่า สิ่งไหน ควรทำ และสิ่งไหน ไม่ควรทำ ครับ
...ขอบพระคุณพี่วรรณี และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขออนุโมทนาค่ะ
คิดดี คิดไม่ดี ด่าว่า สะสม ติเตียน สรรเสริญ ได้บทสัมภาษณ์ ได้ชื่อว่าเมตตา...ฯลฯ ล้วนเป็นธรรม ถ้าสติไม่เกิดเราเกิดแทนแล้วละก็ สภาพธรรมตามความเป็นจริงย่อมถูกปิดบัง การเจริญในธรรมย่อมไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้ ทุกอย่างเป็นธรรม ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเกิดแล้วก็ดับ หาสาระไม่ได้ ไม่มีเรา และเป็นไปเพื่อการละ.....ฯ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ขออนุโมทนาคุณวรรณี และ คุณคำปั่น ด้วยครับ เป็นข้อความที่เป็นประโยชน์ เตือนใจตนเองได้อย่างดียิ่งครับ ประโยชน์ที่บุคคลได้รับจากการฟังพระธรรม พิสูจน์ได้ในทุกๆ ขณะนี้เอง ไม่ใช่ขณะอื่นเลย แม้ว่าจะเป็นผู้ที่ได้ยิน ได้ฟังพระธรรมมามาก รู้ (เรื่องราว) ธรรมะมากมาย หากไม่น้อมที่จะประพฤติปฏิบัติตาม การทั้งหลายนั้นย่อมไร้ค่า ไร้ประโยชน์อย่างยิ่ง เมตตาเกิดไหม? อภัยมีไหม? อดทนไหม? ในคำสรรเสริญหรือนินนทา เดือดร้อนไหม?
ความคิดที่แตกต่าง แต่ไม่แตกแยกได้ไหม? หรือ เมื่อแตกต่าง ต้องแตกแยก?
ที่เรียนมา ที่ศึกษามาทั้งหมด อยู่ที่ไหน? หายไปไหน? หรืออยู่เพียงในแผ่นเอ็มพีสาม? ข้าพเจ้าชอบคำที่ท่านอาจารย์กล่าวคำหนึ่งว่า
...เมื่อเราเป็นผู้ที่ได้ศึกษา และ "เข้าใจ" พระธรรม ควรหรือ? ที่จะโกรธผู้ที่ไม่ได้ศึกษา ไม่ได้เข้าใจ เราควรสงสาร และ เห็นใจเขา ที่เขาไม่ได้ศึกษา ไม่ได้เข้าใจ...
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าผู้ที่มีโอกาสได้ศึกษา แต่ไม่เข้าใจ เราควรที่จะสงสารยิ่งกว่าไหม?
(อันหลังนี้ ข้าพเจ้ากล่าวเอง)
"...ถ้าทำดี แล้วคนอื่นติเตียน คนนั้นก็ติเตียนเปล่า ถ้าทำไม่ดี แล้วคนอื่น จะสรรเสริญ ก็สรรเสริญเปล่า..."
โลกธรรม ๘ ช่างเขาเถอะ ใจเราสำคัญ สำคัญที่ใจเรา
"...เมื่อความเข้าใจเจริญขึ้น ความเข้าใจนี้แหละ จะเป็นเครื่องนำทางชีวิตที่ดี เป็นเครื่องคอยเตือนว่า สิ่งไหน ควรทำ และสิ่งไหน ไม่ควรทำ..."
"ฟัง" และ "เข้าใจ" ในสิ่งที่ได้ฟังนะครับ กุศลเป็นของเรา อกุศลไม่ใช่ของเราครับ
"ความแตกต่าง" คือ กุศล ให้ผลเป็นสุข อกุศล ให้ผลเป็นทุกข์ ครับ
กราบระลึกถึงคำของท่านอาจารย์
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
ข้อความบางตอนจาก ... เรื่อง อตุลอุบาสก
" อตุละ การนินทาและสรรเสริญนั่น เป็นของ เก่า, นั่นมิใช่เป็นเหมือนมีในวันนี้, ชนทั้งหลาย ย่อมนินทาผู้นั่งนิ่งบ้าง, ย่อมนินทาผู้พูดมากบ้าง, ย่อมนินทาผู้พูดพอประมาณบ้าง. ผู้ไม่ถูกนินทาไม่มี ในโลก คนผู้ถูกนินทาโดยส่วนเดียว หรือว่าอันเขา สรรเสริญโดยส่วนเดียวไม่ได้มีแล้ว จักไม่มี และไม่ มีอยู่ในบัดนี้; หากว่าวิญญูชนใคร่ครวญแล้วทุกๆ วัน สรรเสริญผู้ใด ซึ่งมีความประพฤติไม่ขาดสาย มี ปัญญา ผู้ตั้งมั่นด้วยปัญญาและศีล, ใครเล่าย่อมควร เพื่อติเตียนผู้นั้น ผู้เป็นดังแท่งทองชมพูนุท, แม้เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย ก็สรรเสริญเขา ถึงพรหมก็ สรรเสริญแล้ว. "
เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ
• การนินทาสรรเสริญเป็นของเก่า [เรื่องอตุลอุบาสก] •
• ใครติเตียนคนที่รัก ควรมีเมตตา ไม่มีโทสะ [กกจูปมสูตร] •
ก่อนอื่นต้องขอร่วมอนุโมทนาบุญ ต่อทุกๆ ท่านมา ณ ที่นี้ด้วยครับ ทุกวันนี้คนที่จะเข้าใจและเข้าถึงธรรมมีไม่มากเพราะส่วนใหญ่มีแต่อัตตา ผมดีใจครับที่เลือกเข้ามาสู่แสงธรรมนี้ครับ ขออนุโมทนาบุญทุกบุญทั้งก่อนและหลัง ต่อทุกๆ ท่านด้วยความจริงใจครับ
ขออนุโมทนาบุญและกุศลจิตของ พี่วรรณี นะครับ ที่เป็นผู้มีเมตตาและกล่าวพระธรรมไว้ดีแล้ว ตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดงนะครับ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านและอนุโมทนา คุณ pml7419 ที่เข้ามาในหนทางนี้ ค่อยๆ ศึกษาไปนะครับ ความเข้าใจถูกจะค่อยๆ เจริญขึ้น จนเป็นปัจจัยให้เข้้าใจความจริงในพระพุทธศาสนาครับ แสงอะไรก็ไม่เท่าแสงคือปัญญาครับ
ขออนุโมทนาครับ
กราบอนุโมทนาค่ะ
ผู้ที่นินทา หรือกล่าวถึงท่านในทางที่ไม่ดี ผู้นั้นก็สะสมความเป็นเรา สะสมความเป็นผู้โอ้อวด มีมายา เพิ่มขึ้นไปอีก ก็เป็นเรื่องน่าเห็นใจจริงๆ ยิ่งถ้าเป็นผู้ศึกษาพระธรรมด้วยแล้ว ยิ่งน่าเห็นใจ เพราะถึงแม้จะมีการสะสมความเข้าใจถูก แต่ระหว่างทางก็สะสมความเป็นผู้ที่เพ่งอกุศลของคนอื่นไปด้วย เมื่อไปอยู่ที่ไหน แทนที่คนจะสรรเสริญพระธรรมที่ท่านผู้นั้นศึกษา กลับนำมาเป็นข้อวัดว่าศึกษาธรรมไม่มีประโยชน์ เพราะไม่ดีขึ้น แทนที่ตัวเขาเองจะเป็นส่วนช่วยเผยแพร่พระธรรมด้วยการเผยแพร่การกระทำที่ดี ทั้งกายวาจาใจต่อผู้อื่น กลับทำให้่พระธรรมดูไม่เป็นประโยชน์ในสายตาคนในสังคม ก็เป็นเรื่องน่าเห็นใจจริงๆ ค่ะ
ขออนุโมทนานะครับ
......ถ้าทำดี แล้วคนอื่นติเตียน คนนั้นก็ติเตียนเปล่า ถ้าทำไม่ดี แล้วคนอื่น จะสรรเสริญ ก็ สรรเสริญเปล่า ค่ะ......
ขออนุโมทนาครับ
ความคิด การกระทำและคำพูดย่อมมีความแตกต่างเป็นธรรมดา เป็นกุศลหรืออกุศลแล้วแต่การสะสม ควรคิดและเข้าใจ ยอมรับว่าเป็นเรื่องธรรมดาไม่หวั่นไหวทั้งคำชมและคำติเตียน
โดยเฉพาะคำติเตียนที่ไม่จริงหากผู้ฟังเป็นทุกข์หรือโกรธเป็นอกุศลที่เป็นเหตุให้กระทำความดีน้อยลงไม่มีประโยชน์ต่อตัวเองและจะเป็นโทษแก่ผู้ที่ทำอกุศลมากขึ้น...ควรเมตตาเขาคะ
ข้อความบางตอนจากคำกล่าวของพระมหากัจจายนะ
ภิกษุไม่ควรแนะนำสัตว์อื่นให้ทำกรรมชั่ว และไม่พึง ซ่องเสพกรรมนั้นด้วยตนเอง เพราะสัตว์มีกรรมเป็น เผ่าพันธุ์ คนเราย่อมไม่เป็นโจรเพราะคำของบุคคลอื่น ไม่เป็นมุนีเพราะคำของบุคคลอื่น บุคคลอื่นรู้จักตนเองว่า เป็นอย่างไร แม้เทพเจ้าทั้งหลายก็รู้อักบุคคลนั้นว่าเป็น อย่างนั้น....
ขออนุโมทนาทุกท่านครับ
อันนินทากาเลเหมือนเทน้ำ ไม่ชอกช้ำเหมือนเอามีดไปกรีดหิน แม้แต่องค์"พระสัมมาฯ"ยังราคิน คนบนดินหรือจะสิ้นคนนินทา
"นัตถิ โลเก อนินทิโต" คนผู้ไม่ถูกนินทาไม่มีในโลก
การศึกษาพระธรรมต้องเป็นผู้ละเอียด ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
...ขออนุโมทนาความคิดเห็นอันบริสุทธิ์ของทุกท่าน...