ขอเรียนถามครับว่า "การเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิมุตติ" กับ "การเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิมุตติญาณทัสสนะ" แตกต่างกันอย่างไรครับ ขอขอบพระคุณสำหรับคำตอบด้วยครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
คำว่า วิมุตติ หมายถึง ความหลุดพ้น ซึ่ง ความหลุดพ้นก็มีหลายระดับ มี 5 อย่างดังนี้ครับ
1. วิกขัมภนวิมุตติ คือ ความหลุดพ้นจากกิเลส นิวรณ์ ด้วยการข่มไว้ ด้วยกำลังของฌาน คือ สมถภาวนา
2. ตทังควิมุตติ คือ หลุดพ้นจาก ธรรมที่เป็นข้าศึกในขณะนั้น เช่น การได้วิปัสสนาญาณ บางวิปัสสนา สามารถละ หลุดพ้นจากความสำคัญว่าเที่ยง เป็นต้น
3. สมุจเฉทวิมุตติ คือ หลุดพ้นจากกิเลสที่ตัดขาดแล้ว อันหมายถึง ขณะที่เป็นมรรคจิต
4. ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ คือ หลุดพ้นแล้วสงบ ด้วยอำนาจที่กิเลสสงบแล้ว หลังจากการละกิเลส คือ ขณะที่เป็นสามัญญผล 4 เช่น โสดาปัตติผล เป็นต้น
5. นิสสรณวิมุตติ หมายถึง พระนิพพาน หลุดพ้นคือเพราะปราศจากคือ เพราะตั้งอยู่ไกลจากกิเลสทั้งปวง
ซึ่งสำหรับคำว่า การเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิมุตติ จึงมุ่งหมายถึง ถึงวิมุตติอันสูงสุด คือ อรหัตตผลจิต ที่สงบจากกิเลสทั้งปวงแล้ว เพราะดับกิเลสหมด จึงหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวงไม่เหลืออีก ด้วยความหลุดพ้นนั้น นี่คือ การเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิมุตติ
ส่วน คำว่า การเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิมุตติญาณทัสสนะ ก่อนอื่นก็ต้องเข้าใจคำว่า วิมุตติญาณทัสสนะ คือ ปัญญาที่รู้แจ้งว่าหลุดพ้นแล้วจากกิเลส โดยตรง คือปัจจเวกขณญาณ ของพระอริยบุคคล สูงสุดคือของพระอรหันต์ ดังนั้น คำว่า การเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิมุตติญาณทัสสนะ คือ กล่าวโดยนัยสูงสุด คือ ปัญญาของพระอรหันต์ที่พิจารณาถึงกิเลสที่ได้ละแล้ว หมดไม่เหลืออีกนั่นเอง
วิมุตติ จึงมุ่งหมายถึง ความหลุดพ้นจากกิเลสแล้ว ที่เป็นอรหัตตผลจิต เป็นต้น ส่วนวิมุตติญาณทัสสนะ มุ่งหมายถึง ปัญญาทีเกิดหลังจาก อรหัตตผลจิตเกิด พิจารณาว่ากิเลสทั้งปวง ละได้แล้ว ไม่เหลืออีกครับ วิมุตติ เป็นโลกกุตตระ เพราะมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ ส่วน วิมุตติญาณทัสสนะ เป็นโลกียะครับ
ผู้ที่จะถึงพร้อมด้วยวิมุตติและวิมุตติญาณมทัสสนะ คือ ผู้ที่มีปัญญาถึงความเป็นพระอรหันต์แล้วนั่นเองครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
วิมุตติ ซึ่งเป็นการหลุดพ้นจากกิเลส นั้น มีหลายระดับ ตั้งแต่ขั้นต้นจนกระทั่งสูงสุดคือ อรหัตตมรรคจิต และ อรหัตตผลจิตเกิดขึ้น รู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอรหันต์ ก่อนที่จะถึงความเป็นพระอรัหนต์ได้นั้น ปัญญาก็ย่อมจะเจริญขึ้นไปตามลำดับ กล่าวคือ จะต้องเป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี และพระอนาคามี ก่อนจึงจะเป็นพระอรหันต์ได้ พระอริยบุคคลทุกระดับขั้น ดับกิเลสได้ตามลำดับมรรคของตนๆ ขณะที่มรรคจิตเกิดขึ้น ก็เป็นวิมุตติ และขณะที่ผลจิตเกิดขึ้น ก็เป็นวิมุตติ ด้วยเหมือนกัน แต่แตกกันที่มรรคจิต เกิดขึ้นดับกิเลสเมื่อมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ ส่วนผลจิต นั้นเกิดขึ้นรับผล คือ มีพระนิพพานเป็นอารมณ์โดยเป็นจิตที่ดับกิเลสแล้ว จึงกล่าวได้ว่าพระอริยบุคคล หลุดพ้นจากกิเลส ตามลำดับมรรค กิเลสใดที่ดับได้แล้วก็ไม่เกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ กิเลสใดที่ยังเหลืออยู่จากการที่มรรคเบื้องต่ำ ๓ ยังดับไม่ได้ ก็จะถูกดับได้อย่างหมดสิ้นด้วยอรหัตตมรรค พระอรหันต์เท่านั้นที่เป็นผู้ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้น ไม่มีกิเลสใดๆ เหลืออยู่เลย ไม่ต้องมีกิจที่จะต้องกระทำเพื่อดับกิเลสอีกต่อไป จึงเป็นผู้ถึงพร้อม คือ บริบูรณ์ด้วยวิมุตติ และด้วยวิมุตติญาณทัสสนะ (ปัญญาที่รู้ว่าหลุดพ้นจากกิเลสแล้ว) ครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาอาจารย์ผเดิม อาจารย์คำปั่น และทุกๆ ท่านครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณอย่างสูงสำหรับคำตอบครับผม
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ