การอบรมเจริญสติปัฏฐานต้องเริ่มจากการอบรมความเข้าใจถูกเห็นถูกในสภาพธรรม
ที่กำลังปรากฏในชีวิตประจำวัน การเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การถูกต้อง-
กระทบสัมผัส และการคิดนึก ขณะฟังพระธรรมควรพิจารณาถึงสิ่งที่กำลังปรากฏไม่ว่าจิตเห็นเกิดขึ้น เป็นสภาพเห็น ก็เป็นเพียงจิตที่เกิดขึ้นทำกิจเห็นเท่านั้น สิ่งที่ปรากฏ
ทางตาก็เป็นเพียงรูปธรรมชนิดหนึ่ง เป็นเพียงสีสันวรรณะต่างๆ ซึ่งปรากฏกับจิตเห็นเท่านั้น จิตได้ยินไม่สามารถเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาได้ การฟังแล้วฟังอีกในลักษณะสภาพธรรมที่กำลังปรากฏไม่ว่าทางตา ทางหู... สัญญาจำในลักษณะสภาพธรรมที่กำ-
ลังปรากฏแต่ละประเภท จนเป็นสัญญาที่มั่นคง คือ จำในลักษณะสภาพธรรมตรงตาม
ความเป็นจริง ไม่ใช่จำแต่ชื่อว่า จิตเห็น สิ่งที่ปรากฏทางตา จิตได้ยิน เสียง... เป็นต้น
เพราะการจำชื่อ ไม่ได้จำในลักษณะสภาพธรรมก็ไม่เป็นเหตุใกล้ให้สติปัฏฐานเกิดได้
ปัญญาที่ค่อยๆ อบรม ค่อยๆ เห็นถูกในลักษณะสภาพธรรมแต่ละอย่าง แต่ละทวารที่ปรากฏในชีวิตประจำวัน สัญญาเจตสิกเกิดกับจิตทุกดวง เกิดขึ้นจำในลักษณะสภาพ
ธรรม จนเป็นสัญญาที่มั่นคงในลักษณะสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เป็นเหตุใกล้ให้สติ
ปัฏฐานเกิด เมื่อใดที่สติเกิดขณะนั้นหมายความว่า เพราะมีความจำได้มั่นคงว่าขณะนี้เป็นสภาพธรรม สติจึงเกิดระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาค่ะ
สาธุ
ขออนุโมทนาครับ