เรื่องในชาดกทั้งหมด ก็เป็นความจริงในยุคนี้สมัยนี้ เพียงแต่เปลี่ยนชื่อ คือ ชื่อในชาดกนั้นเป็นอย่างหนึ่ง แต่ก็ได้แก่ จิต เจตสิก รูปนั่นเอง และชื่อในปัจจุบัน ชีวิต จริงๆ ของทุกท่านในขณะนี้ก็คือ จิต เจตสิก รูป ก็เป็นเพียงชื่อเท่านั้น
เปลี่ยนจากชาดกมาเป็นแต่ละยุคแต่ละสมัย แต่ให้ทราบว่า โลภะก็เป็นโลภะ โทสะก็เป็นโทสะ อกุศลก็เป็นอกุศล กุศลก็เป็นกุศล เพราะฉะนั้น จากเรื่องชีวิตของแต่ละบุคคลในครั้งอดีต ย่อมเตือนให้ทุกท่านระลึกถึงสภาพจิตของท่านได้ และขัดเกลายิ่งขึ้น
ทุกชีวิตที่เกิดมาแต่ละภพแต่ละชาติ ไม่แน่นอนเลย มีการเปลี่ยนแปลง บางครั้งก็เป็นกุศล บางครั้งก็เป็นช่วงเวลาของอกุศล ซึ่งไม่มีใครสามารถรู้การสะสมของกุศล และอกุศลว่า ในกาลไหนจะเป็นปัจจัยให้อกุศลเกิดมาก และในกาลไหน จะเป็นปัจจัยให้กุศลประเภทใดเกิดมาก เพราะฉะนั้น ไม่ควรประมาทในการเจริญกุศล
เพื่อความไม่ประมาทในการเจริญกุศล ขอกล่าวถึงชีวิตของพระสาวกในอดีตท่านหนึ่ง เพื่อท่านผู้ฟังจะได้เป็นผู้ไม่ประมาท
อรรถกถาทวาทสนิบาต อรรถกถากามชาดกที่ ๔ มีข้อความว่า
เมื่อพระผู้มีพระภาคประทับ ณ พระวิหารเชตวัน ณ พระนครสาวัตถี พระผู้มีพระภาคทรงเห็นอุปนิสัยแห่งโสดาบันของพราหมณ์ผู้หนึ่ง ซึ่งหักร้างถางป่า เพื่อทำไร่
ก็เป็นชีวิตปกติธรรมดา
เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จบิณฑบาตในพระนครสาวัตถี ก็ได้ทรงแวะกระทำปฏิสันถารกับพราหมณ์ผู้นั้นว่า
เธอทำอะไรล่ะ พราหมณ์
เขากราบทูลว่า
ข้าพระองค์หักร้างถางที่ทำไร่ พระเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดีละ พราหมณ์ กระทำการงานไปเถอะ
แล้วก็เสด็จเลยไป
พราหมณ์ผู้นี้จะได้เป็นพระโสดาบันบุคคล แต่ก่อนที่จะได้เป็นพระโสดาบันบุคคล ท่านก็เป็นผู้ที่หักร้างถางป่าเพื่อทำไร่
พระผู้มีพระภาคได้เสด็จไปกระทำปฏิสันถารกับพราหมณ์นั้นบ่อยๆ ตั้งแต่ เวลาที่เขาเริ่มหักร้างถางป่า เวลาที่เขาขนต้นไม้ที่ตัดแล้วออกไป เวลาก่อคันนา จนถึงเวลาหว่านข้าว
พราหมณ์นั้นคิดว่า ที่พระผู้มีพระภาคเสด็จมากระทำปฏิสันถารเนืองๆ นั้น คงเพราะต้องการภัตอย่างไม่ต้องสงสัย พราหมณ์นั้นจึงได้กราบทูลว่า ตนจะถวายมหาทานแก่ภิกษุสงฆ์มีพระผู้มีพระภาคเป็นประมุข เมื่อข้าวกล้านี้สำเร็จแล้ว
ต่อมาเมื่อข้าวกล้าแก่แล้ว พราหมณ์นั้นก็ตกลงใจว่า พรุ่งนี้จะเกี่ยว แต่ ในคืนนั้นเองฝนลูกเห็บตกตลอดคืน น้ำในแม่น้ำอจิรวดีท่วมข้าว พัดไปไม่เหลือเลยแม้แต่ทะนานเดียว พราหมณ์นั้นเศร้าโศกเสียใจอย่างยิ่ง
หมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ชีวิตไม่มีใครรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
วันรุ่งขึ้น พระผู้มีพระภาคทรงเห็นพราหมณ์นั้นเศร้าโศกเสียใจอย่างยิ่ง พระองค์ได้เสด็จไปหา ทรงแสดงธรรม เขาคลายความเศร้าโศก และได้บรรลุโสดาบัน
เมื่อพระภิกษุทั้งหลายได้ทราบเรื่องของพราหมณ์นั้น ก็ได้สนทนากันเรื่องนี้ พระผู้มีพระภาคจึงตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในอดีตกาล พระองค์ก็ได้กระทำให้พราหมณ์ผู้นี้สร่างโศกด้วย แล้วได้ตรัสเล่าเรื่องในอดีต
ทุกชาติต้องมีทั้งสุข และทุกข์ ไม่มีใครพ้นไปได้ เพราะฉะนั้น ในยามทุกข์ ใครสามารถช่วยคนอื่นให้คลายทุกข์ได้ นั่นก็ต้องเป็นปัญญา เพราะว่าอย่างอื่น ย่อมไม่สามารถทำให้คลายทุกข์ได้
พระผู้มีพระภาคตรัสเล่าว่า
ขอเชิญรับฟัง
กามชาดก (ไม่ประมาทในการเจริญกุศล)