ข้อความบางตอนจากการบรรยายธรรมโดยท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ท่านอาจารย์ ขณะนี้มีสภาพธรรมที่เกิดขึ้นแล้วดับไป แต่ไม่มีใครรู้ คือไม่ได้
ประจักษ์ลักษณะของทุกข์อริยสัจ และในขณะเดียวกัน สภาพธรรมที่เกิด ก็มีเหตุ
ปัจจัยปรุงแต่งจึงเกิด แล้วเหตุปัจจัยก็มีมากมายหลายเหตุปัจจัย แต่ปัจจัยที่
เป็นสมุทัยได้แก่ โลภะ อันนี้ยังไม่เห็นแน่ๆ ค่ะ เพราะว่าแม้ในขณะนี้ สภาพธรรม
เกิดแล้วก็ดับก็ยังไม่เห็น เพราะฉะนั้นที่จะให้เห็นสมุทัยก็เห็นไม่ได้
ต่อเมื่อใดเห็นลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดว่า
ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล และ รู้ปัจจัยอื่นๆ จึงจะเห็นได้
ว่าโลภะนั้นเองเป็นสมุทัย
แต่ก่อนที่จะเห็นว่าโลภะเป็นสมุทัย ต้องเห็นโลภะก่อน
และไม่ใช่เห็นโลภะโดยชื่อ เพราะว่าโดยชื่อนี้สามารถที่จะบอกได้ว่า มีโลภมูลจิต
กี่ดวง และ มีโลภเจตสิกซึ่งเกิดกับโลภมูลจิต สามารถที่จะบอกได้ แต่แม้ในขณะนึ้เอง
มีโลภมูลจิตไหม บอกได้ตามตำรา แต่ความจริงแล้ว ถ้ามีสติสัมปชัญญะขณะใด
สามารถที่จะรู้ได้ในวันหนึ่งๆ ว่าขณะใดที่ไม่เป็นกุศลจิต และขณะนั้นไม่ใช่โทสมูลจิต
ไม่ใช่โมหมูลจิต ถ้าเป็นผู้ที่ศึกษาละเอียดกว่านั้นก็จะรู้ว่า ขณะใดที่ไม่ใช่วิบากจิต
กิริยาจิต ขณะนั้นเป็นโลภมูลจิต และการที่จะรู้จักโลภมูลจิต ไม่ใช่รู้เพียงชื่อ ก็โดย
การเป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐาน ที่ว่าเป็นผู้มีปกติเจริญสติปัฏฐานนั้น ก็คือว่าไม่ใช่
มีความตั้งใจ ไม่ใช่มีความจงใจ ไม่มีความตั้งใจที่จะให้ไม่มีโลภะ ให้เป็นสมาธิ
แล้วก็จะได้เห็นอะไรๆ ถ้าโดยลักษณะนั้นจะไม่เห็นสมุทัยคือโลภะ
เพราะฉะนั้นถ้าเป็นผู้มีปกติเจริญสติ หมายความว่า ขณะหนึ่งขณะใดในชีวิต
ประจำวัน อาจจะอยู่บ้าน หรือว่าไปธุระทำกิจการงาน กำลังสนทนา กำลังอ่าน
หนังสือพิมพ์ กำลังดูโทรทัศน์ หรือว่ากำลังทำอะไรอยู่ก็แล้วแต่ ซึ่งเป็นชีวิต
ประจำวันจริงๆ แล้วสติเกิดตามธรรมดา ตามปกติ ขณะนั้นจะรู้ได้เลยค่ะว่าเป็น
โลภมูลจิตแน่ๆ
ในขณะทีต้องการสี่งหนึ่งสี่งใด ที่กำลังกระทำอยู่ในขณะนั้น
เรี่มรู้ลักษณะของโลภะ แต่ก็ยังไม่เห็นว่าเป็นสมุทัย
จนกว่าจะรู้ปัจจัยต่างๆ ที่เกิดร่วมกันเมื่อนั้นจึงจะรู้ว่า
ตราบใดที่ยังมีโลภะอยู่
ตราบนั้นก็ยังมีเหตุที่จะให้เกิดทุกข์อยู่
คุณกฤษณา อย่างหนึ่งเมื่อทุกขอริยสัจ ได้แก่สภาพธรรมที่เกิดดับ
และ สมุทยอริยสัจ ได้แก่ โลภเจตสิก แต่ในเมื่อโลภเจตสิกเองก็เป็นสภาพธรรม
ที่เกิดดับ อย่างนี้จะมิจัดว่า สมุทยอริยสัจ เป็นทุกขอริยสัจ หรือคะ
จะเป็นการซ้ำซ้อนของอริยลัจ หรือเปล่าคะ
ท่านอาจารย์ เป็นการที่ทรงแสดงสภาพของปรมัตถธรรม แม้ว่าโลภมูลจิตหรือ
โลภเจตสิก ก็เป็นสังขารธรรม เป็นสังขารธรรมมีปัจจัยปรุงแต่ง เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
แต่ถ้าจะแยกสังขารธรรมทั้งหมดออกว่า ในบรรดาสังขารธรรมทั้งหลายนั้น
สังขตธรรมใดเป็น
สมุทัยก็มีโลภะและอวิชชา แต่ก็ทรงแสดงโลภะอย่างเดียว
แต่ก็หมายรวมถึงอวิชชาด้วย
เพราะว่าโลภะจะเกิดโดยไม่มีอวิชชาไม่ได้
ถ้ามีแต่อวิชชาเฉยๆ ก็ไม่ได้ต้องการอะไร
เพียงแต่ไม่รู้เท่านั้นเองค่ะ ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
แต่ไม่มีพืชเชื้อ ที่เป็นความต้องการ ที่เป็นความขวนขวาย
เพราะฉะนั้น โลภะจึงเป็นสมุทัย
ตราบใดที่ยังมีโลภะอยู่
ตราบนั้นก็ยังมีเหตุที่จะให้เกิดทุกข์อยู่
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาคุณหมอครับ
รู้ได้ยากจริงๆ ค่ะ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
ตอบ ความคิดเห็นที่ 2
ขอบคุณและอนุโมทนาทุกท่านครับ
ศึกษาและเข้าใจตามได้ครับ
จะนำไปถึง รู้ตาม ได้เมื่อ เหตุสมควรแก่ผลครับ
โลภะเป็นสมุทัย ลึกซึ้ง...จึงเห็นยาก
ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
"ในขณะทีต้องการสี่งหนึ่งสี่งใด ที่กำลังกระทำอยู่ในขณะนั้น
เรี่มรู้ลักษณะของโลภะ...
โลภะจะเกิดโดยไม่มีอวิชชาไม่ได้
ถ้ามีแต่อวิชชาเฉยๆ ก็ไม่ได้ต้องการอะไร
เพียงแต่... ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
แต่ไม่มีพืชเชื้อ ที่เป็นความต้องการ ที่เป็นความขวนขวาย
เพราะฉะนั้น โลภะจึงเป็นสมุทัย "
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาทุกๆ ท่านค่ะ ดิฉันเป็นสว. (สูงวัย) ต้องอาศัยการอ่านมาก..บ่อยๆ เนืองๆ ครู่เดียวก็ลืมแล้วค่ะแต่ไม่ท้อค่ะ ไม่ทราบว่าในชาตินี้จะมีโอกาสศึกษาอีกได้เท่าไร ขอตั้งใจว่าให้มีเหตุปัจจัยพร้อมที่จะได้ฟังพระธรรมต่อไปอีก..สาธุ...