อยู่ระหว่างศึกษาปรมัตถธรรมจากการฟังและอ่านพร้อมกับสังเกตสภาพธรรมไปด้วย
เพราะเวลาเหลือไม่มาก ขอเรียนถามว่า เมื่อคิดถึงอาหารที่มีรสเปรี้ยวที่เคยได้
รับประทาน อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าน้ำลายก็ออกในกระพุ้งแก้มโดยห้ามไม่ได้ เป็นกรณีที่นาม
คือสัญญาขันธ์เป็นปัจจัย ให้เกิดรูป คือน้ำลายไหลหรือไม่คะ ถ้าเข้าใจผิดขอรบกวน
ท่านวิทยากรโปรดชี้แนะด้วย
กราบขอบพระคุณค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้ง เพราะ เป็นสภาพธรรมที่เป็นนามธรรม ที่เป็น
จิต เจตสิก ที่ไม่สามารถเห็นได้ด้วยตา แต่เห็นได้ด้วย ปัญญา ซึ่งสภาพธรรมที่
เกิดขึ้น ล้วนแล้วแต่มีเหตุปัจจัยทั้งสิ้น ซึ่ง นาม เป็นปัจจัยให้เกิด รูป ก็มีความ
ละเอีบดลึกซึ้งอีกเช่นกัน
นาม คือ จิต เจตสิกที่เป็นสภาพธรรมที่รู้อารมณ์
ส่วน รูป เป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรเลย มี รูป 28 ซึ่ง นามเป็นปัจจัยให้เกิด รูปได้
หลากหลายนัย หลากหลายปัจจัย ทั้ง จิต เจตสิก ที่เป็นนาม เป็นปัจัยให้รูป คือ
จิตตชรูป คือ รูปที่เกิดจากจิต โดย สหชาตปัจจัย โดยการเกิดพร้อมกันก็ได้ ซึ่ง
สำหรับประเด็นที่ถามนั้น น้ำลาย ก็เป็นรูปที่เกิดจากจิตเป็นสมุฏฐานหรือเป็นเหตุ
หรืออุตุเป็นสมุฏฐานได้เช่นกัน
ประเด็นที่นึกถึงอาหารรสเปรี้ยวแล้วน้ำลายไหล ก็เพราะอาศัยเหตุปัจจัยเช่นกัน
คือ เพราะ โลภะในอดีต ที่เป็นนามธรรมเกิดขึ้น ยินดีพอใจ ในรสเปรี้ยว ที่สัญญา
จำไว้ ทำให้มีน้ำลายไหลในขณะที่ยินดีพอใจ สัญญาจำแล้วในขณะนั้น ในลักษณะ
รูปร่าง สัณฐาน ที่สมมติว่าเป็นของเปรี้ยว และก็จำในรสชาตินั้นด้วย ดังนั้นน้ำลาย
เกิดจากโลภมูลจิตเป็นปัจจัย เมื่อมีการจำไว้ พอต่อมา แม้การนึกถึงอาหารรส
เปรี้ยวก็เป็นปัจจัยให้น้ำลายไหล เป็นรูปเกิดขึ้นได้ เพราะนึกด้วยความยินดีพอใจ
ด้วยจิตที่เป็นโลภะ สัญญาเคยจำไว้ในอดีต ทำให้เกิดน้ำลายไหลขึ้นมาได้อีก
เพราะฉะนั้น จึงเป็นปัจจัย โดยปกตูปนิสสปัจจัยก็ได้ โดยนามธรรม ในอดีตมีโลภะ
มูลจิต และสัญญาเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย เป็นปัจจัยให้เกิด รูป คือ น้ำลายในอนาคต
ครับ นี่คือความเป็นปัจจัย ที่ นาม เป็นปัจจัย แก่ รูปตามที่กล่าวมา ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
เป็นหัวข้อที่น่าสนใจ ขออนุโมทนาครับ
พระอรหันต์ผู้ดับกิเลสแล้วจะยังน้ำลายไหลไหมคะ หรือยังไหลแต่ปล่อยไป
ตามธรรมชาติ เพราะรู้ว่าไม่ใช่เรา ปกตูปนิสสปัจจัยคืออะไรคะ กราบขอบพระคุณค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น แสดงถึงความเป็นจริงของธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่ได้เกิดขึ้นมาเองลอยๆ
โดยปราศจากเหตุปัจจัย เมื่อได้ศึกษาแล้ว ก็ยิ่งจะเพิ่มพูนความมั่นคงในความเป็นจริง
ของธรรมที่เป็นอนัตตา ยิ่งขึ้น เมื่อศึกษาก็จะเข้าใจว่าจิตประเภทใด เป็นเหตุให้เกิดรูป
บ้าง [เว้นทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ อรูปวิบาก ๔ (จิตที่ทำกิจปฏิสนธิ ไม่เป็นปัจจัยให้เกิด
จิตตชรูป เพราะจิตในขณะปฏิสนธิกาลมีกำลังอ่อน จุติจิตของพระอรหันต์ก็ไม่เป็นปัจจัย
ให้เกิดจิตตชรูป เพราะเป็นความสิ้นสุดของสังสารวัฏฏ์ หมดความสืบต่อของนามและ
รูปทั้งปวง) เมื่อได้เหตุได้ปัจจัยจิตประเภทนั้น ก็เป็นเหตุให้เกิดรูปที่เกิดจากจิต
และเมื่อไม่มีเหตุที่จะทำให้จิตประเภทนั้นเกิดขึ้น รูปที่เกิดเพราะจิตก็เกิดขึ้นไม่ได้
นี้คือความเป็นจริงของธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงๆ เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่อยู่ใน
อำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
เรียนความเห็นที่ 4 ครับ
น้ำลายเกิดขึ้นได้ ด้วยจิตเป็นเหตุและ อุตุเป็นเหตุ เพราะฉะนั้น พระอรหันต์
เกิดนํ้าลายได้ แต่ไม่ใช่เพราะโลภะเป็นเหตุ แต่เกิดจากอุตุได้ เมื่อท่านทาน
อาหาร รูปกระทบรูปย่อมเป็นปัจจัยให้เกิดนํ้าลายอันมีอุตุเป็นเหตุที่จะช่วย
คลุกเคล้าอาหารและช่วยย่อยอาหาร ด้วยครับ ขออนุโมทนา
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
นาม กับ รูปเป็นปัจจัยโดยเกิดพร้อมกัน เช่น สหชาตปัจัย เป็นต้น ค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ