อยากสอบถามว่า. เราศึกษาธรรมะ. แล้วก็ยังใช้ชีวิตประจำวันเหมือนเดิมไหมครับ
เช่น. เรายังดูหนังฟังเพลง. ดูข่าว. อ่านนิตยสาร ได้เหมือนเดิมไหมครับ. หรือควรเลี่ยงครับ. เพราะดูแล้วก็อิน. ฟุ้งซ่านไป
เรายังแต่งตัวสวยๆ . หรือเข้าฟิตเน็ต เพื่อบุคคลิกภาพดีๆ . ครับ
ยังคงสรรหาร้านอาหารอร่อยเหมือนเดิมได้ไหมครับ.
หรือแนำวิธีตั้งจิตหรือวางใจด้วยครับ
ขอบคุณครับ. อนุโมทนาสาธุๆ ๆ ๆ ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาัสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ในชีวิตประจำวันของปุถุชนก็เป็นไปตามกิเลสที่สะสมมามาก สะสมอกุศลมามาก จิตก็น้อมไปในทางอกุศล มีการดูหนัง ดูละคร เป็นต้น ซึ่งก็เป็นไปตามการสะสมมาของแต่ละคน ว่าชอบสิ่งใด อาจไม่ดูละคร ก็ไปเล่นกีฬา ทำอะไรในสิ่งที่ชอบ ตามโลภะ ตามฉันทะที่ชอบในสิ่งใด สิ่งหนึ่ง ดังนั้นไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เลยที่จะไม่เป็นโลภะ หากเป็นผู้ตรงแล้ว ก็อยู่กับโลภะเกือบตลอดเวลา แม้ขณะนี้ ยังไม่ได้ดูละครก็ยังเป็นโลภะโดยไม่รู้ตัวเลยครับ ดังนั้นหนทางในการอบรมปัญญา เมื่อศึกษาพระธรรมก็จะรู้ว่าการละกิเลสต้องเป็นไปตามลำดับ กิเลสที่ต้องละอันดับแรกคือ ทิฏฐิ คือ ความเห็นผิดที่ยึดถือว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน นั่นคือพระโสดาบันท่านละได้ ส่วนความติดข้อง ที่เป็นโลภะ ความยินดีพอใจในรูป เสียง...พระอนาคามีท่านถึงจะละได้ ดังนั้นการอบรมปัญญาจึงต้องเริ่มจากความเข้าใจถูกก่อนครับว่าปัญญาขั้นแรกรู้อะไร เพื่อที่จะละอะไร ดังนั้นปัญญาขั้นแรกคือเข้าใจความจริงที่เกิดแล้ว ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา อกุศลมีจริง เป็นธรรมไม่ใช่เรา กุศลมีจริงเป็นธรรมไม่ใช่เรา ขณะนี้มีสภาพธรรม มีจริงเป็นธรรม ไม่ใช่เรา เข้าใจตรงนี้ก่อนครับ คือ ละความเห็นผิดว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตนก่อน จึงจะสามารถละโลภะได้ครับจึงไม่ใช่หลีกหนีที่จะไม่มีโลภะ เพราะโลภะเกิดแล้วในขณะนี้แต่อยู่ด้วยความเข้าใจว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา
แม้ขณะที่ดูละคร มีธรรมไหมครับ มีครับ ขณะที่พูดเรื่องละคร มีธรรมไหมครับ มีครับ ปัญญาควรรู้ว่าขณะนั้นว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา นี่คือหนทางการอบรมปัญญาที่ถูกต้องครับ พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ เมื่อตอนที่ยังไม่ได้บวช ท่านไปดูมหรสพกัน ท่านก็ยังใช้ชีวิตปกติ แต่ท่านก็มีปัญญา สังเวชว่าแม้คนที่แสดงก็จะต้องตาย เราควรหาทางหลุดพ้น ดังนั้นปัญญาจึงสามารถเกิดตอนดูมหรสพได้ครับ
การศึกษาพระธรรม เมื่อปัญญาเจริญมากขึ้น ก็จะรู้ว่าสิ่งใดมีประโยชน์ สิ่งใดไม่มีประโยชน์กับชีวิต ก็จะค่อยๆ เสพคุ้นในสิ่งที่มีประโยชน์มากขึ้นคือการฟังพระธรรมและศึกษาพระธรรม พร้อมๆ กับการเป็นไปในอกุศลที่มีในชีวิตประจำวัน แต่ปัญญาก็สามารถเข้าใจความจริง แม้ขณะที่ใช้ชีวิตประจำวันไม่ว่าจะเป็น กุศล หรือ อกุศลครับ
การศึกษาธรม ก็ต้องรู้จักธรรมว่าคืออะไร และต้องเข้าใจถูกว่า การปฏิบัติธรรมที่จะเป็นการรู้ธรรมนั้นคืออย่างไร ก็จะเข้าใจหนทางที่ถูกในการอบรมปัญญาที่ถูกต้องครับว่า คืออย่างไร
การจะปฏิบัติธรรมก็ต้องเริ่มจากความเข้าใจพระธรรมเบื้องต้นก่อนครับ โดยเริ่มจากการฟังพระธรรมให้เข้าใจ เมื่อเราพูดถึงปฏิบัติธรรม ดังนั้นก็ต้องเข้าใจความจริงขั้นการฟังว่า ที่ไปหาธรรม ไปปฏิบัติธรรม ก็ต้องเข้าใจคำว่าธรรมคืออะไร เป็นเบื้องต้นก่อนครับ เพราะหากไม่เข้าใจคำว่าธรรม ก็จะทำให้ไปแสวงหา ไปปฏิบัติผิดได้
ธรรมคือ สิ่งที่มีจริง เพราะมีลักษณะ ดังนั้น ธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงที่เป็นสัจจะ จึงไม่ได้หมายถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นธรรมชาติ แม่น้ำ ภูเขา ทุกอย่างเป็นธรรม อันนี้ไม่ใช่ธรรมที่พระองค์ทรงตรัสรู้ แต่สิ่งที่พระองค์ตรัสรู้ ธรรม คือ สภาพธรรมที่มีจริงที่มีลักษณะ คือ นามธรรมและรูปธรรม นั่นก็คือ จิต เจตสิก และรูป เช่น การเห็นมีจริงครับ มีลักษณะ แต่เป็นจิตที่เห็น การได้ยิน เป็นจิตที่ได้ยิน เป็นจิต เป็นธรรม การคิดนึก เป็นจิตที่คิด ดังนั้น จิตที่คิดมีจริงเป็นธรรม เรื่องที่คิด ไม่มีจริงเพราะไม่มีลักษณะให้รู้ จึงไม่ใช่ธรรม จิตที่เป็นโลภะ เป็นธรรม จิตที่เป็นโทสะเป็นธรรม เป็นต้น เสียง สี กลิ่น รส สิ่งที่กระทบสัมผัสมีจริง มีลักษณะให้รู้ เป็นธรรม ดังนั้นธรรมก็คือ สิ่งที่มีจริง ที่มีลักษณะเป็นนามธรรมและรูปธรรมที่เป็น จิต เจตสิก รูป ครับ ซึ่งจะเห็นว่า จากตัวอย่างที่ยกมาว่าธรรมมีอะไรบ้างนั้น มีในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว เช่น สี (สิ่งที่เห็น) เสียง ได้ยิน คิดนึก โกรธ โลภ มีอยู่ในชีวิตประจำวัน เมื่อเราเข้าใจถูกว่าธรรม คือสิ่งที่มีจริงในชีวิตประจำวันที่เป็น จิต เจตสิก รูป แล้ว ก็ไม่ต้องไปแสวงหาธรรมที่อื่นอีก ไม่ต้องแสวงหาที่เงียบ ที่สงบปลีกวิเวกเพื่อหาธรรม (ปฏิบัติธรรม) ไม่ต้องแสวงหาห้องปฏิบัติเพื่อรู้ธรรม ไม่ไต้องนั่งสมาธิเพื่อที่จะรู้ธรรม เพราะขณะนี้ เป็นปกติ ยืนก็มีธรรม นอนก็มีธรรม เดินก็มีธรรม ขาดแต่เพียงปัญญาที่จะไปรู้ตัวธรรมที่มีในชีวิตประจำวันครับ
ดังนั้น หนทางการอบรมปัญญาที่ถูกต้อง คือ เข้าใจความจริงของสภาพธรรมที่เกิดขึ้น ว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา เพราะกิเลสที่จะต้องละอันดับแรก ไม่ใช่โลภะความติดข้อง เช่น ติดข้องในการดูทีวี เป็นต้น แต่กิเลสที่จะต้องละเป็นอันดับแรกคือ ความเห็นผิดที่ยึดถือว่าเป็นเรา เป็นสัตว์บุคคล จะเห็นนะครับว่า ถ้าเราไม่ศึกษาธรรม ก็คิดว่า จะต้องละโลภะ ไม่ให้โลภะเกิด ไม่ดูทีวี ไม่ทำอะไร ไม่เล่นสิ่งต่างๆ แท้ที่จริง แม้ไม่ดูทีวี ไม่เล่นสิ่งต่างๆ แต่กิเลสก็เกิดแล้วในขณะนี้โดยไม่รู้ตัว เพียงแค่เห็น กิเลสก็เกิดแล้ว ดังนั้น กิเลสจะต้องละเป็นไปตามลำดับ นั่นคือ ละความเห็นผิดว่าเป็นเรา เป็นสัตว์ บุคคล ซึ่งหนทางการเจริญอบรมปัญญา พระพุทธเจ้าทรงแสดงสติปัฏฐาน 4 คือ การรู้ความจริงของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ ที่มีจริง ว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา ทั้งกาย เวทนา จิต ธรรม คือ ทั้งสภาพธรรมที่เป็นรูปธรรม เช่น เย็น ร้อน อ่อน แข็งว่าเป็นแต่เพียงธรรม เวทนา ความรู้สึก รวมทั้ง จิต ประเภทต่างๆ ซึ่งรวมทั้งกุศลจิต และอกุศลจิตด้วย ควรรู้ว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา ดังนั้น ก็รู้ความจริง แม้อกุศลที่เกิดขึ้นว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เราคือ เป็นผู้มีปรกติอบรมสติปัฏฐานคือ เป็นผู้มีปรกติอบรมเจริญปัญญา เพราะ ธรรมมีอยู่แล้ว ควรรู้แม้อกุศลที่เกิดขึ้น แม้พระอริยสาวก ก่อนบรรลุธรรม ท่านก็ใช้ชีวิตเป็นปกติ เพียงแต่ท่านฟังพระธรรม อบรมปัญญาในชีวิตประจำวัน ไม่ได้ไปนั่งสมาธิ ปลีกวิเวก ตามที่เข้าใจผิดกัน แม้เมื่อท่านทำอาหารในครัว เห็นน้ำแห้งในหม้อก็เกิดปัญญา บรรลุเป็นพระอนาคามี นี่แสดงให้เห็นถึงการอบรมปัญญาในชีวิตประจำวัน ขณะที่ดูทีวี ก็มีเห็น มีคิดนึก มีโลภะ เป็นแต่เพียงธรรมทั้งสิ้น ควรรู้ว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา ซึ่งโลภะที่ติดข้องในรูป รส เป็นต้น มีการดูทีวี ละได้เมื่อเป็นพระอนาคามี ดังนั้น จึงควรอบรมปัญญา ละกิเลสเป็นลำดับ หนทางที่ถูกต้อง คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมต่อไป และก็ใช้ชีวิตที่เป็นปกติ ปัญญาเกิดเมื่อไหร่ก็รู้ความจริงที่เป็นปกติในชีวิตประจำวัน ครับ
การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม เป็นเรื่องที่เบาสบาย เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกอย่างแท้จริง ในแต่ละวันชีวิตของแต่ละบุคคลย่อมดำเนินไปแตกต่างกัน บางครั้งบางคราวก็เพลิดเพลินสนุกสนานไปด้วยอำนาจของกิเลส อย่างเช่น ดูหนัง ดูละคร เป็นต้น บางครั้งบางเวลามีโอกาสก็ได้ฟังพระธรรม สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูกขึ้น ตามแต่โอกาสจะอำนวย เป็นชีวิตปกติ เพราะคงไม่มีใครสามารถฟังพระธรรมได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมง บางครั้งก็มีโอกาสได้สนทนาธรรมกับกัลยาณมิตรผู้มีปัญญา เพิ่มพูนความเข้าใจสภาพธรรมยิ่งขึ้น สะสมเป็นอุปนิสัยที่ดีต่อไป ทั้งหมดทั้งปวงไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร แต่สามารถที่จะค่อยๆ สะสม อบรมเจริญได้ในชีวิตประจำวัน ที่สำคัญที่สุด คือ ความเข้าใจ (ปัญญา) ชีวิตของแต่ละบุคคลที่ดำเินินไปตามการสะสมจริงๆ แต่สำหรับผู้ที่เห็นคุณประโยชน์ของพระธรรม ย่อมให้เวลากับพระธรรม เป็นผู้ใคร่ในการฟังพระธรรมอยู่เสมอ ไม่ละเลยโอกาสสำคัญที่สุดในชีวิต คือ โอกาสที่จะทำให้ตนเองได้เข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น แม้จะเล็กน้อยเพียงใดก็สำคัญ ครับ
ขอเชิญอ่านคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์ได้ที่นี่ ครับ
ถึงไม่ดูหนัง ดูละคร กิเลสก็เต็ม
มธุรส อาจารย์คะ แต่บางคนที่เขาไม่ได้มีการสะสมที่จะมีอินทรียสังวร โดยขั้นตัดง่ายๆ แบบที่อาจารย์ได้กล่าวไว้ ทำให้รู้สึกว่า บางครั้งอาจจะเป็นการฝืนความรู้สึกของเขา เหมือนกับว่าเป็นการไม่ใช่เป็นปกติของเขาอย่างนี้คะ
สุ. เพราะฉะนั้นแต่ละคน เมื่อเจริญสติปัฏฐานแล้วจะทราบได้ว่า อกุศลทั้งหลายยังเต็มเพียบ เพียงแต่ว่าจะเกิดเมื่อไรมากหรือน้อย
เพราะฉะนั้นเป็นผู้ที่ตรงคะ อุชุปฏิปันโน คือ ตรงต่อสภาพธรรมที่ว่า เมื่อสภาพธรรมใดเกิดแล้วเพราะมีปัจจัย แสดงให้เห็นถึงการสะสมของแต่ละบุคคลตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นปัญญาก็สามารถที่จะรู้ได้ว่า ถ้าตราบใดที่ยังไม่รู้แจ้งอริยสัจธรรม ดับกิเลสไม่ได้ เพียงแต่อาจจะเบาบาง บางครั้ง บางขณะ แต่ว่ายังมีเชื้อที่จะทำให้กิเลสทุกระดับเกิด
มธุรส อย่างคนที่มีการสะสมที่จะดูหนัง ดูละคร จริงๆ แล้วถ้าสมมติว่าเขาดูหนังดูละคร หรือว่าอยู่ในที่ซึ่งไม่ได้เป็นที่เงียบสงบหรือปลีกออกไป จริงๆ มันอยู่ที่ใจไม่ใช่หรือคะ
สุ. ดูหนัง ดูละคร หนังก็มีหลายประเภท ละครก็มีหลายประเภท คนดูในที่นั้นจะรู้ได้เลยว่า คนที่กำลังดูหนังประเภทไหน กิเลสระดับไหน แล้วคนที่ดูหนังดูละครตามปกติธรรมดา ก็เพราะเหตุว่ายังมีเหตุ ยังมีกิเลสอยู่ แต่ไม่ได้หมายความว่า คนนั้นจะอบรมเจริญปัญญาไม่ได้ ต้องเข้าใจตามความเป็นจริงว่า ถึงไม่ดูหนังดูละคร กิเลสก็เต็ม จนกว่าปัญญาจะค่อยๆ รู้ลักษณะของสภาพธรรม
-------------------------------------------------------
และธรรมบรรยาย ท่านอาจารย์สุจินต์ จากจังหวัดน่าน
การอบรมปัญญา ที่เป็นการเจริญสติปัฏฐาน ที่ถึงความไม่มีเรา ก็เป็นการเจริญสติปัฏฐานที่เป็นปกติ ไม่ได้แยกจากชีวิตประจำวัน คือ ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริง ทั้งที่เป็นกุศล อกุศลด้วย ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ดังนั้น อกุศลเกิดแล้ว บังคับบัญชาไม่ได้ แต่หนทางการเจริญปัญญาเพื่อถึงความไม่มีเรา ก็คือ ระลึกรู้ตัว อกุศลที่เกิดขึ้นว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา หากไม่รู้อกุศล ก็จะไม่รู้ทั่วในธรรมเลย ว่าแม้อกุศลก็เป็นธรรมไม่ใช่เรา การดำเนืนชีวิตเพื่อถึงความไม่มีเรา เริ่มแรกจะยังไม่มีเราไม่ได้ คือ ยังประจักษ์ความไม่มีเรา ด้วยปัญญาทันทีไม่ได้ เพราะปัญญายังน้อย แต่ค่อยๆ สะสมอบรมปัญญาขั้นการฟังไปทีละน้อย จนปัญญาขั้นการฟังมากขึ้น จนสติปัฏฐานเกิด ก็สามารถระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม ที่เป็นทั้งกุศล อกุศล และสภาพธรรมอื่นๆ ที่มีจริง เช่น เห็น ได้ยิน คิดนึก ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ก็จะค่อยๆ ละความไม่รู้ และละความเห็นผิด ไปทีละน้อย แต่ยังไม่ทันที คือ ค่อยๆ ละความมีเรา และค่อยๆ รู้ว่า ไม่มีเราทีละน้อย จากสติปัฏฐานที่เกิด เป็นปกติ ที่แทรกเกิดระหว่าง อกุศล ได้ครับ ดังนั้น ไม่ใช่ว่า ไปเที่ยว ฟังเพลงแล้วจะอบรมปัญญา เจริญสติปัฏฐานไม่ได้ และแม้สะสมอกุศล แต่อกุศลก็สะสมอยู่แล้ว แม้ไม่เที่ยว เพราะเกิดเป็นปกติ แต่ที่สำคัญ การสะสมระหว่าง อกุศล และกุศล มีปัญญา เป็นต้น แยกกัน เมื่อปัญญาเจริญถึงที่สุด ก็สามารถละกิเลสที่สะสมมามากเท่าไหร่ก็ตามได้หมดสิ้น
สติย่อมเกิดได้ในที่ทั้งปวง เมื่อปัญญาถึงพร้อม แม้ขณะที่เที่ยวก็มีแต่ธรรม มีได้ยิน มีเสียง มีคิดนึก ที่เป็นกุศล หรืออกุศลก็ล้วนแล้วแต่เป็นธรรม สติปัฏฐานเกิดได้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ก็ค่อยๆ ละความเป็นเราในขณะที่เที่ยวได้
หนทางที่ถูกต้อง คือ ฟังพระธรรมต่อไป และชีวิตก็ดำเนินไปตามเหตุปัจจัย พร้อมๆ กับสะสมปัญญา สติและปัญญาก็จะเกิดขึ้นเอง รู้ความจริงในขณะที่เป็นชีวิตประจำวัน นี่คือ หนทางการถึงความไม่มีเรา
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ชีวิตประจำวันของบุคคลผู้ที่ยังเป็นปุถุชน หนาแน่นไปด้วยกิเลส ย่อมจะมีกิเลสอกุศลเกิดขึ้นเกือบทั้งวัน ซึ่งไม่ใช่เฉพาะในวันนี้ ในชาตินี้เท่านั้น แต่ว่าได้เป็นอย่างนี้มานานแล้วในสังสารวัฏฏ์ เพราะได้สะสมกิเลสมาอย่างมากมายนับชาติไม่ถ้วน จึงเป็นผู้ไหลไปด้วยอำนาจของกิเลส ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ และกิเลสไม่ได้เกิดเฉพาะเวลาดูหนังฟังเพลง ดูข่าว อ่านนิตยสาร แต่งตัวสวยๆ เป็นต้น เท่านั้น แต่เกิดมากกว่านี้มากในชีวิตประจำวัน
เพราะฉะนั้น ผู้มีโอกาสได้ศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม สะสมความเข้าใจไปตามลำดับ ก็จะเห็นพระมหากรุณาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่พระองค์ได้ทรงแสดงพระธรรมอย่างละเอียด ซึ่งถ้าไม่ทรงแสดงพระธรรมโดยละเอียด ก็จะไม่มีใครรู้จักตัวเองตามความเป็นจริงว่ายังเป็นผู้เต็มไปด้วยกิเลส ยังมีส่วนที่ไม่ดีอยู่มากทีเดียว
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม เพื่อให้ผู้ฟังผู้ศึกษา รู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง การศึกษาพระธรรมนี้เองเป็นหนทางเพื่อการดับกิเลสทั้งหลาย เพราะฉะนั้น ในเบื้องต้นเมื่อปัญญายังไม่เพียงพอ ย่อมดับกิเลสไม่ได้ แต่เมื่อค่อยๆ รู้ตามความเป็นจริงว่า เป็นเพียงสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ที่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย ก็ย่อมจะไม่เดือดร้อนกับกิเลสที่เกิดขึ้น ดังนั้น จึงต้องอบรมเจริญปัญญาต่อไป ที่สำคัญที่สุด คือ ไม่ขาดการฟังพระธรรม เพราะกิเลสที่มีมากต้องอาศัยปัญญาเท่านั้นจึงจะดับให้หมดสิ้นได้ ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ดูหนัง ฟังเพลงได้ ไม่มีใครบังคับ แต่ แบ่งเวลาฟังธรรม อบรมปัญญาด้วย ค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุญาตเก็บและแชร์นะครับ ขอบคุณครับ
ขอแชร์นะครับ ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนา
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ