เรียนถามอาจารย์คำปั่นครับ
เราจะทราบได้อย่างไรว่าถ้าถึงนิพพานแล้วไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏฏ์แม้แต่พระอรหันต์ก็ยังต้องชดใช้กรรมเก่า ช่วยอธิบายด้วยครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด ลึกซึ้ง แสดงถึงความเป็นจริงทั้งหมด เมื่อกล่าวถึงธรรมแล้ว ไม่พ้นไปจากนามธรรม และ รูปธรรม สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรเลย ไม่ใช่นามธรรมก็เป็นรูปธรรมทั้งหมด นามธรรม แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ นามธรรมที่รู้อารมณ์ได้แก่ จิต และ เจตสิก และนามธรรมที่ไม่รู้อารมณ์ ได้แก่ พระนิพพาน ที่เป็นสภาพธรรมที่ไม่เกิด ไม่ดับ แต่มีจริง พระอริยบุคคลขั้นต่างๆ เท่านั้นที่ประจักษ์แจ้งพระนิพพานได้ และ ท่านเหล่านั้นก็รู้ได้ด้วยตนเองว่าท่านได้ประจักษ์แจ้งพระินิพพาน
การเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่า่งๆ เป็นได้ด้วยปัญญา และต้องเป็นปัญญาของแต่ละบุคคลจริงๆ ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องในหนทางที่เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์แห่งจิต คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิ เป็นต้น ถ้าไม่มีปัญญาเลย ก็ไม่สามารถเป็นพระอริยบุคคล ได้
สำหรับพระอริยบุคคลขั้นสูงสุด คือ พระอรหันต์ เมื่อดับกิเลสหมดแล้วไม่มีกิเลสใดๆ เกิดขึ้นอีกเลย แต่ก็ยังมีสภาพธรรม กล่าวคือ จิต เจตสิก (ที่ไม่เป็นไปกับด้วยกิเลส) และ รูป เกิดขึ้นเป็นไป ยังมีเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ยังมีการได้รับผลของกรรม ยังมีความเกิดขึ้นแห่งจิตที่ดีงามในการทำประโยชน์เกื้อกูลแก่บุคคลอื่น เป็นต้น ซึ่งก็ยังเป็นการเกิดดับสืบต่อกันของสภาพธรรม ยังมีสภาพธรรมเป็นไปอยู่ จนกว่าท่านจะดับขันธปรินิพพาน เมื่อนั้นท่านจึงจะไม่มีการเกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ ไม่มีจิต เจตสิก และ รูป เกิดขึ้นอีกเลย จึงเป็นผู้สิ้นทุกข์โดยประการทั้งปวง ครับ
* กราบเรียนเชิญทุกท่าน ร่วมแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมด้วยครับ *
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
พูดถึงธรรมะ ไม่ใช่พูดถึงบุคคล ธรรมะมีปัจจัยก็เกิดขึ้น หมดเหตุปัจจัยก็ดับค่ะ
ถ้าผมสรุปจากข้อเขียนเป็นดังนี้จะถูกต้องหรือไม่ครับ เหตุเพราะพระอรหันต์ ดับกิเลสหมดจริงๆ จึงไม่ต้องมีการเกิดขึ้นอีกในสังสารวัฏฏ์ แต่ผลของกรรมยังต้องรับจนกว่าท่านจะดับขันธปรินิพพาน จึงถือว่าหมดกรรมไม่มีเหลือ ไม่ทราบว่าตามพระไตรปิฎก มีอ้างอิงไว้อย่างไร หรือท่านใดจะมีความเสริมเพื่อความเข้าใจโปรดบอกด้วย
ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาด้วยครับ
เรียน คุณสุรศักดิ์ ครับ พระอรหันต์ ท่านดับกิเลสทั้งปวงอย่างเด็ดขาดแล้ว ไม่มีกิเลสใดๆ เกิดขึ้นอีกเลยหลังจากที่ท่านได้บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว ชีวิตของท่านก็ดำเินินไปเป็นปกติอย่างผู้ที่ไม่มีกิเลส โดยท่านมีจิตเพียง ๒ ชาติเท่านั้น คือ วิบากชาติ (จิตเกิดขึ้นเป็นวิบาก คือ รับผลของกรรม เช่น ขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น เป็นต้น) และ กิริยาชาติ (จิตเกิดขึ้นเป็นกิริยา เช่น พระอรหันต์แสดงธรรม จิตของท่านในขณะนั้น ไม่ใช่กุศลไม่ใช่อกุศล แต่เป็นชาติกิริยา) ชีวิตของท่านดำเนินไปอย่างนี้ จนกว่าจะถึงการดับขันธปรินิพพาน ซึ่งเปรียบเหมือนกับลูกจ้างที่รอเวลาเลิกงาน
ข้อความจากอรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ที่ยกมาประกอบนี้ แสดงไว้ว่า พระอรหันต์ ยังมีทุกข์กาย ซึ่งเป็นผลของอกุศลกรรม แต่ไม่มีทุกข์ใจ เพราะดับกิเลสหมดสิ้นแล้ว
ขอเชิญคลิกอ่านข้อความได้ที่นี่ ครับ ความเร่าร้อนทางกาย และ ทางจิต
ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณสุรศักดิ์ และ ทุกๆ ท่านครับ
"ดูก่อนชีวกผู้มีอายุ ก็โดยปรมัตถ์ ความเร่าร้อน (คือกิเลส, ทุกข์ใจ) ย่อมไม่มีแก่พระขีณาสพผู้เห็นปานนั้น".
ท่านพระอรหันต์ผู้หมดจดจากกิเลส ไม่มีความทุกข์ใจอีกต่อไป แต่ตราบใดที่ยังไม่ได้
ดับขันธปรินิพพานย่อมต้องรับผลของกรรมที่เคยกระทำไว้แล้ว ยังต้องได้เห็นสิ่งที่ดี
บ้างไม่ดีบ้าง...กระทบสัมผัสที่ดีบ้างไม่ดีบ้าง มีทุกข์ทางกายแต่ท่านไม่มีทุกข์ใจ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ...
ขอขอบพระคุณและอนุโมทนาครับ