เราทุกคนต่างมีความทุกข์ แต่แค่กับสิ่งที่ต่างกัน เราควรทำอย่างไรถ้าอยากจะละความอยาก และหันมารู้จักคำว่า พอ
ผู้ที่จะละโลภะ (ความอยาก) ได้เป็นสมุจเฉท ผู้นั้นต้องเป็นพระอรหันต์ การจะเป็นพระอรหันต์ได้ ต้องอบรมเจริญปัญญา ปัญญาเท่านั้นที่จะละโลภะได้ถ้าเพียงความอยากละ หรือรู้จักพอ ไม่สามารถละกิเลสได้ มีหนทางเดียว คือ ต้องอบรมเจริญปัญญา จนอรหัตตมรรคญาณเกิดขึ้น จึงละโลภะได้
อย่าเพิ่งคิดละกิเลสเลย ยังห่างไกลอยู่มาก ขอเพียงแค่ รู้ตัวว่า การกระทำ แต่ละครั้ง ปสร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่นเหรือไม่ ไม่ไปสร้างทุกข์เขา ทุกข์เรา ก็เพียงพอแล้ว แต่ยุคสมัยนี้ต้องบอกว่าหนาแน่นด้วยกิเลสจริงๆ ฟังพระธรรม คงเป็นหน ทางที่ดี ที่จะทำให้เกิดความเข้าใจ และละในสิ่งที่ไม่ดี
การละความอยาก และการรู้จักพอ เวลามีความอยากเกิดขึ้น ให้พิจารณาถึงคุณ และโทษของสิ่งนั้น การได้เห็นโทษจะทำให้ลดความอยากลงได้
กิเลส เป็นเรื่องยากที่จะละ เพียงแค่ละการเห็นผิด ก็ยากเหลือเกินแล้ว ค่อยๆ ฟังธรรม และ พิจารณาไตร่ตรองด้วยความอดทน คงเป็นหนทางที่ดีที่สุด ทวารทั้ง 6 เป็นต้นเหตุของเรื่องราวอย่างมากมาย และ ทุกข์ สุข ก็มาจาก ทวารทั้ง 6 นี่แหละ
พระอรหันต์ท่านก็มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่ท่านไม่สุข ไม่ทุกข์ เพราะท่านไม่มีกิเลส เมื่อยังมีกิเลสก็ย่อมกระทำกรรม เมื่อกระทำกรรมก็ย่อมรับผลของกรรม ทั้งในปฏิสนธิกาลและในปวัตติกาลทางทวารต่างๆ ความสุขและความทุกข์จึงมาจากความเห็นผิด ความติดข้องและความไม่รู้ในสิ่งที่กำลังปรากฎ
ต้องการละ "ความอยาก" และมีความรู้จัก "พอ" ก็คือ ต้องการหมดกิเลส นั่นเอง ซึ่งเป็นคุณธรรมของพระอรหันต์ พระอริยบุคคล (ผู้ละกิเลสได้เป็นลำดับ อย่างเป็นสมุทเฉท) มี ๔ ขั้น คือ พระโสดาบันพระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ซึ่งดับอนุสัยกิเลสได้ทั้งหมด (๗ชนิด) ขั้นแรก คือพระโสดาบัน ซึ่งละได้ ๓ ชนิด คือ สักกายทิฏฐิ (ความเห็นผิดว่ามีตัวตน) วิจิกิจฉาและสีลัพพตปรามาส ดังนั้นเราคือ ปุถุชน (ผู้มีกิเลสหนา) จะบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลขั้นแรกได้ ต้องละกิเลส ๓ ประการดังกล่าวได้ก่อนที่สำคัญอันดับแรก คือ การเข้าใจถูกว่า ไม่มีเรา ซึ่งจะมีได้ต้องอาศัย "การฟัง"จึงยังไม่ต้องไปห่วงไปกังวลถึง "ความอยาก" ที่เกิดขึ้น ตราบใดที่ยังมีความเห็นผิดเข้าใจผิดว่า มีตัวตน มีสัตว์บุคคล มีเรามีเขาอยู่ ก็ย่อมมีเหตุปัจจัยให้ ความอยาก เกิดขึ้นได้อยู่ แม้พระโสดาบันก็ยังละไม่ได้แต่เบาบางลงจนไม่เกิดการทำให้เกิดอกุศลกรรมที่นำไปสู่อบายภูมิ (นรก เปรต อสูรกาย สัตว์เดรัถฉาน) จึงควรศึกษาธรรมะให้เข้าใจก่อนว่า ทุกอย่างเป็นเพียงสภาพธรรมแม้ ความอยากที่เกิดขึ้นก็เพราะเหตุปัจจัย และความอยากนั้นก็ไม่ใช่เราที่อยากนั่นเองและความพอก็เป็นสภาพธรรม ไม่ใช่ เราที่พอ เช่นกัน
อยากจะละความอยาก คงละยากนะคะ เพราะยังเป็นความอยากอยู่นั่นเอง
"อยากจะละความอยาก" ประโยคนี้คล้ายๆ กับที่พระอานนท์ท่านเคยสอนให้ใช้ตัณหาละตัณหา (ขออภัยที่จำไม่ได้ว่าเป็นสูตรใด) เช่น ใช้ความอยากบรรลุมรรคผลละอกุศลเป็นต้น
"การละความอยาก" เราจะไม่อยากก็เพราะเห็นทุกข์ เห็นโทษ เห็นภัย เห็นความไม่มีสาระแก่นสารในสิ่งที่อยาก แต่การเห็นเหล่านี้เห็นได้นั้นยาก เพราะเรามี อวิชชา คือ ความไม่รู้ตามสภาวธรรมตามความเป็นจริง การจะละอวิชชาได้ก็ต้องอบรมเจริญปัญญาเพื่อให้เกิดวิปัสสนาปัญญา เห็นธรรมทั้งหลายตามสภาวธรรมที่เป็นจริง ก็จะละคลายความยึดมั่นถือมั่น ตัวตน เรา เขา หญิง ชาย จะเห็นเป็นเพียงเรื่องของเหตุ และปัจจัยที่ประกอบกัน หรือเห็นเป็นเพียงแค่การกระทบกันของธาตุ ไม่เข้าไปปรุงแต่งว่า เป็นตัวตน เรา เขา งาม หรือไม่งาม เป็นต้น
ความอยาก (ตัณหา) เป็นอกุศล ก็ต้องขัดเกลาด้วยกุศล ได้แก่ ทาน ศีล,และภาวนา (สมถ และวิปัสสนา) ควรเจริญกุศลทุกๆ อย่างเพราะกุศลแต่ละอย่างก็เป็นอุบายในการขัดเกลากิเลส แต่ละชนิดตามความหยาบ และละเอียดของกิเลสแต่ละอย่างๆ
การละกิเลสต้องเป็นไปตามลำดับขั้นนะครับ ขั้นแรกยังไม่ได้ให้ละโลภะ โทสะ โมหะ เพราะปุถุชนเป็นผู้หนาแน่นด้วยกิเลส ท่านแสดงไว้ว่า ขั้นแรกให้ละความเห็นผิดก่อนคือ ละความเห็นผิดว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใด แม้เรื่องการละความเป็นผิดก็เป็นเรื่องยาก การศึกษาและปัญญาต้องเป็นไปตามลำดับขั้นนะครับ เป็นไปไม่ได้ที่จะข้ามขั้น
กิเลสมี ๓ ขั้น คือ อนุสัยกิเลส ปริยุฏฐานกิเลส วีติกกมกิเลส
วีติกกมกิเลส เป็นกิเลสอย่างหยาบ ทำให้ล่วงเป็นทุจริตกรรมทางกายวาจาวิรัติ คือ ละเว้นวีติกกมกิเลสได้ด้วยศีล
ปริยุฏฐานกิเลส เป็นกิเลสอย่างกลางที่เกิดร่วมกับอกุศลจิต แต่ไม่ถึงขั้นล่วงเป็นทุจริตกรรม ระงับปริยุฏฐานกิเลสได้ชั่วคราว เป็นวิกขัมภณปหานด้วยฌานกุศลจิต
อนุสัยกิเลส เป็นกิเลสอย่างละเอียด เมื่อยังไม่ได้ดับกิเลส อนุสัยกิเลสก็นอนเนื่องอยู่ในจิตที่เกิดดับสืบต่อกัน เป็นเชื้อเป็นปัจจัยให้เกิดปริยุฏฐานกิเลส กิเลสทั้งหลายจะดับหมดสิ้นเป็นสมุจเฉทปหาน ไม่เกิดอีกเลยเมื่อโลกุตตรมัคคจิตรู้แจ้งอริยสัจจธรรมโดยประจักษ์แจ้งสภาพของพระนิพพานตาม ลำดับขั้นของมัคคจิตซี่งปหานกิเลสเป็นสมุจเฉท ตามลำดับขั้นของมัคคจิตนั้นๆ
การละคลายกิเลสต้องเป็นไปตามลำดับมรรค มรรคเบี้องต้นคือ โสตาปัตติมรรคละความเห็นผิด ละการยึดถือข้อปฏิบัติผิด และละความสงสัย จะละโลภะ โทสะ โมหะ ยัง ไม่ได้ อนาคามิมรรคละโทสะ ละการติดในกาม อรหัตตมรรคละโลภะที่ติดในภพ ละมานะ ละโมหะ คือกิเลสทั้งหมดจะละได้เมื่อเป็นพระอรหันต์ ในเบื้องต้นผู้ที่กำลังอบรมสติปัฏฐานยังละกิเลสอะไรยังไม่ได้
ขออนุโมทนา
ท่านที่เข้าในธรรมทุกท่านด้วยครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ