รู้กายเคลื่อนไหว เป็นมรรคมีองค์ ๘ หรือไม่ค่ะ
โดย koltree  28 ธ.ค. 2557
หัวข้อหมายเลข 25975

บางครั้งก็ระลึกรู้สึกถึงกายที่กำลังเคลื่อนไหว บางครั้งก็รู้อารมณ์ที่เกิดเช่นเกิดโกรธ โกรธดับไป เกิดชอบ ชอบดับไป อยากทราบว่า รู้กายเคลื่อนไหว เป็นมรรคมีองค์ ๘ หรือไม่ค่ะ



ความคิดเห็น 1    โดย paderm  วันที่ 28 ธ.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

มรรค หมายถึง หนทาง ซึ่งมีทั้งทางถูกกับทางผิด ถ้าเป็นหนทางที่ถูกต้องเป็นไปเพื่อการอบรมเจริญปัญญา ถ้าเป็นกล่าวมรรค อันประกอบด้วยองค์ ๘ แล้ว ย่อมเป็นหนทางถูก เป็นหนทางที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นไปเพื่อกำจัดกิเลส เป็นหนทางที่เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์ หมดจดแห่งสัตว์ทั้งหลาย

อริยมรรค หนทางของผู้ไกลจากกิเลส หนทางอย่างประเสริฐ หมายถึง มรรคมีองค์ ๘ อันเป็นหนทางอย่างประเสริฐ เพราะทำให้ผู้อบรมบรรลุถึงความเป็นพระอริยเจ้า พ้นจากความเป็นปุถุชน และพ้นจากการเกิดในอบายภูมิโดยเด็ดขาด ซึ่งการรู้ว่าทำอะไร รู้การเคลื่อนไหว อย่างนี้ ไม่ใช่ การเจริญอริยมรรค เพราะไม่ได้มีปัญญาที่รู้ว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา แต่ ขณะใดที่รู้ความจริงว่าเป็นแต่เพียงธรรม ไม่ใช่เรา ขณะนั้นเป็นการเจริญอริยมรรค ครับ

ขออนุโมทนา


ความคิดเห็น 2    โดย koltree  วันที่ 28 ธ.ค. 2557

ขอบพระคุณค่ะคุณเผดิม

อยากทราบเพิ่มเติมว่า ดิฉันเข้าใจว่ารู้กายเคลื่อนไหว เป็นสติปัฏฐาน ๔ ที่อยู่ในมรรคมีองค์ ๘ ถูกหรือไม่ค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย paderm  วันที่ 28 ธ.ค. 2557

เรียนความเห็นทื่ 2 ครับ

การรู้ความเคลื่อนไหวที่เป็นสติปัฏฐาน ต้องระลึกรู้ลักษณะที่อ่อน ที่แข็ง หรือ สภาพธรรมที่มีจริง ในขณะที่เคลื่อนไหว แต่ไม่ใช่การรู้ว่า เดิน ยืน นั่ง นอน ไม่ใช่สติปัฏฐานไม่ใช่อริยมรรค ครับ

ขออนุโมทนา


ความคิดเห็น 4    โดย koltree  วันที่ 28 ธ.ค. 2557

ขอขอบพระคุณค่ะคุณเผดิม

ดิฉันอ่านแล้วคิดว่า หากปัญญาได้อบรมจนเข้าใจว่าทุกๆ อย่างเป็นสภาพธรรมทั้งหมดเป็นธาตุทั้งหมด ไม่มีตัวตน แต่ที่ประกอบขึ้นเป็นรูปร่าง เมื่อหมดเหตุปัจจัยก็กลายเป็นธาตุต่างตามเดิม ซึ่งตรงนี้ดิฉันก็เข้าใจและยอมรับค่ะ ตอนนี้ปัญญาอยู่ในขั้นคิดค่ะ ฟังพระธรรมแล้วคิดตามค่ะ


ความคิดเห็น 5    โดย khampan.a  วันที่ 28 ธ.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ถ้าไม่ศึกษาพระธรรม ไม่ฟังพระธรรมให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ย่อมไม่สามารถรู้ทั่วในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏได้เลย

พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นเรื่องที่ละเอียด ลึกซึ้ง แสดงถึงความเป็นจริงของสภาพธรรมแต่ละอย่างๆ ตามความเป็นจริง ไม่ว่าจะทรงแสดงในส่วนใดก็ตาม ย่อมไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ สำคัญที่ความเข้าใจถูก เห็นถูกของผู้ที่ได้ฟัง ได้ศึกษาอย่างแท้จริง ถ้าเป็นผู้ที่มีความละเอียดรอบคอบไม่ประมาทพระธรรมว่าง่าย ศึกษาด้วยความตั้งใจ ความเข้าใจก็จะค่อยๆ เจริญขึ้นไปตามลำดับพระธรรม แม้จะยาก แต่ก็ไม่เหลือวิสัยที่จะเข้าใจได้

สำคัญ คือ ไม่ขาดการฟัง ไม่ขาดการศึกษาพิจารณาไตร่ตรอง ไม่ว่างเว้นจากการฟังพระธรรม และมีจุดประสงค์ที่ถูกต้องในการศึกษาว่า เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก ในลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


ความคิดเห็น 6    โดย wannee.s  วันที่ 28 ธ.ค. 2557

ขณะที่สงสัยเป็นไปกับความไม่รู้ ต้องค่อยๆ ฟังให้เข้าใจ กว่าปัญญาจะถึงสภาพธรรมะเดี่๋ยวนี้ ต้องอาศัยกาลเวลาที่นานมาก ไม่ใช่ชาติเดียวสองชาติ แต่นานนับชาติไม่ได้ค่ะ


ความคิดเห็น 7    โดย ดวงทิพย์  วันที่ 28 ธ.ค. 2557

มรรคองคที่ ๑ คือ สัมมาทิฏฐิ คือ ปัญญา ที่รู้ว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏขณะนี้ทีละ ๑ คือ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เกิดดับอย่างรวดเร็ว กายเคลื่อนไหวที่จงใจเจตนาสร้างขึ้นมา เป็นรูปแบบอย่างนั้นอย่างนี้ตามที่มีปรากฏ ไม่ตรงตามพระพุทธพจน์ที่ทรงแสดง พระพุทธเจ้าไม่ได้ให้ไปทำอะไรเพิ่อสติปัฏฐานนอกจาก ... การฟังพระธรรม ที่ทรงตรัสรู้อย่างละเอียด จึงจะรู้ว่าสัมมาทิฏฐิคือระลึกรู้ธรรมที่มีแล้วขณะนี้ ... กายก็รู้เย็นร้อนอ่อนแข็งตึงไหวเท่านั้น คะ


ความคิดเห็น 8    โดย tanrat  วันที่ 29 ธ.ค. 2557

สาธุ


ความคิดเห็น 9    โดย peem  วันที่ 29 ธ.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 10    โดย kullawat  วันที่ 29 ธ.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 11    โดย yupares  วันที่ 30 ธ.ค. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 12    โดย chatchai.k  วันที่ 8 พ.ค. 2563

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ