การมีพระนิพพานเป็นอารมณ์
ผู้ที่มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ต้องเป็นพระอริยบุคคล มีพระโสดาบันบุคคล เป็นต้น พระอริยบุคคลที่ท่านได้ฌานสามารถเข้าผลสมาบัติได้ ขณะที่จิตเป็นผลสมาบัติมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ สำหรับพระพุทธองค์ทรงเข้าผลสมาบัติเป็นประจำ แม้ขณะที่แสดงธรรมอยู่ ผู้ฟังให้สาธุการ พระองค์เข้าผลสมาบัติทันที
ขณะที่มรรคจิตเกิด ผลจิตเกิดก็มีนิพพานเป็นอารมณ์ ปุถุชนไม่สามารถมีนิพพานเป็นอารมณ์ได้
สวัสดีครับ ขอแทรกความรู้ที่ผมได้ศึกษามานะครับ
ต้องทราบก่อนว่าพระนิพพานเป็นอารัมมณปัจจัยให้จิตได้ถึง ๑๙ ดวง ดังนี้
๑. มโนทวาราวัชชนจิต ๑ ดวง
๒. มหากุสล ญาณสัมปยุตตจิต ๔ ดวง
๓. มหากิริยา ญาณสัมปยุตตจิต ๔ ดวง
๔. โลกุตตรจิต ๘ ดวง
๕. อภิญญากุสลจิต ๑ ดวง
๖. อภิญญากิริยาจิต ๑ ดวง รวมทั้งสิ้น ๑๙ ดวง
พระนิพพานเป็นอารมณ์ของจิตดังกล่าวได้ทั้งหมด ๑๙ ดวง ซึ่งต้องเป็นจิตของพระอริยบุคคลครับ จิตที่เข้าไปรับพระนิพพานเป็นอารมณ์ คือ จิตในมัคควิถี ผลสมาปัตติวิถี ปัจจเวกขณวิถี อภิญญาวิถี ครับ
แต่สำหรับผลสมาปัตติวิถีนั้นสามารถเกิดได้กับพระอริยบุคคลทั้งปวงครับ ไม่จำเป็นที่จะต้องเกิดเฉพาะโลกียฌานลาภีบุคคลครับ เพราะว่าโลกุตตรจิตเป็นโลกุตตรฌานครับ ประกอบด้วยอัปปนาสมาธิ ไม่ใช่สมาธิขั้นขณิกหรืออุปจารสมาธิครับ โลกุตตรจิต ๘ ที่แสดงโดยย่อในอภิธัมมัตถสังคหะนั้น หากจำแนกโดยพิสดาร โลกุตตรจิต ๘ ดวงที่แสดงโดยย่อนั้นเป็นโลกุตตรปฐมฌานครับ (ตรวจสอบได้ในอภิธัมมัตถวิภาวินีฎีกา, มณิสารมัญชุสา) ดังนั้น จึงต้องไม่ปะปนกันระหว่างโลกียฌานและโลกุตตรฌานครับ พระพุทธโฆษาจารย์จึงได้แสดงข้อความนี้ไว้ในวิสุทธิมัคคปกรณ์ครับ สามารถค้นคว้าได้ในปัญญานิทเทส ในหัวข้อของผลสมาบัติครับ ท่านอ้างความเห็นอันบริสุทธิ์ในฝ่ายมหาวิหารว่า พระอริยบุคคลทั้งปวง สามารถเข้าผลสมาบัติได้
อนุโมทนาครับ
สัมภเวสี
ควรจะเรียกว่ามีธรรมเป็นอารมณ์ คือ เมื่อปุถุชนเกิดมีธรรมขึ้นในดวงจิตจะกลายเป็นอริยะ ดังนั้น เราจึงควรมีธรรมเป็นอารมณ์อยู่เสมอ
ต้องเข้าใจว่าธรรมะคืออะไร และจิตที่เกิดขึ้นต้องมีอารมณ์ จิตจะเกิดขึ้นโดยไม่มีอารมณ์ไม่ได้ ธรรมะหรือธาตุ หมายถึง สิ่งที่มีจริง ซึ่งก็คือปรมัตถธรรม ๔ นิพพานก็เป็นธรรมะหรือเป็นธาตุ ซึ่งบางครั้งท่านก็เรียก นิพพานธาตุ ดังนั้นผู้ที่มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ต้องเป็นพระอริยบุคคล มีพระโสดาบันบุคคล เป็นต้น พระอริยบุคคลที่ท่านได้ฌาน สามารถเข้าผลสมาบัติได้ ขณะที่จิตเป็นผลสมาบัติมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ สำหรับพระพุทธองค์ทรงเข้าผลสมาบัติเป็นประจำ แม้ขณะที่แสดงธรรมอยู่ ผู้ฟังให้สาธุการ พระองค์เข้าผลสมาบัติทันที
ผู้ที่ไม่ได้ฟังพระธรรมก็ย่อมจะไม่เข้าใจความจริงของสภาพธรรมที่ปรากฏในชีวิตประจำวัน พระผู้มีพระภาคทรงแสดงหนทางอบรมเจริญปัญญาอย่างละเอียด ทรงแสดงเหตุ และปัจจัยที่ทำให้การอบรมปัญญาเจริญขึ้น ซึ่งโดยย่อก็คือ การฟังธรรมและเห็นประโยชน์ของการศึกษาธรรม เมื่อปัจจัยทั้งสองนี้เกิดขึ้นบ่อยๆ เนืองๆ ปัญญาก็ย่อมอบรมเจริญขึ้นได้