ทานที่เป็นบารมี และไม่เป็นบารมี
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
บารมี เป็นคุณธรรมที่ทำให้สามารถดับกิเลสและถึงพระนิพพาน ดังนั้น การจะถึงพระนิพพานและดับกิเลสก็ต้องเป็นปัญญาที่สามารถดับกิเลสได้ และทำให้
ถึงพระนิพพาน บารมีก็เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นบารมีในข้อใด เช่น ทานบารมี เป็นต้นก็ต้องประกอบด้วยปัญญา (ปัญญาบารมี) เสมอ มีปัญญาอย่างไร คือ บารมี ๑๐ ที่พระโพธิสัตว์ ตั้งใจสมาทานครั้นเมื่อเป็นสุเมธดาบส เพราะท่านมีปัญญา เห็นโทษของการเกิดและกิเลส จึงบำเพ็ญบารมี มี ทาน เป็นต้น ด้วยตั้งใจว่าการให้ครั้งนี้ เป็นไปเพื่อดับกิเลส และไม่เกิดอีก
ดังนั้น ปัญญาจึงเป็นตัวกำหนดว่า จะเป็นบารมี หรือไม่ใช่บารมี ด้วยการเห็นโทษของกิเลสและการเกิด และที่สำคัญที่สุด เข้าใจหนทาง ในการดับกิเลส (สติ-
ปัฏฐาน) มิเช่นนั้น ก็อาจเข้าใจว่า นิพพาน เป็นอย่างอื่นไป ดังนั้น ทานที่เป็นบารมี และไม่เป็นบารมีก็มี เช่น ให้ด้วยความหวัง เป็นทานบารมีหรือเปล่า ให้ด้วย
ความไม่หวัง แต่ไม่มีปัญญา เช่น ให้อนุเคราะห์เพื่อช่วยเหลือคนอื่น ซึ่งศาสนาอื่นก็มีเป็นทานบารมีหรือเปล่า หรือให้ด้วยตั้งใจว่า เพื่อเป็นไปเพื่อขัดเกลากิเลส
และน้อมบุญไปในความไม่เกิดอีกในอนาคตเป็นทานบารมีหรือเปล่า ดังข้อความในพระไตรปิฎก
เรื่อง การทำกุศลที่เป็นบารมีคือทำเพื่อออกจากสังสารวัฏฏ์
ขอเชิญคลิกอ่านได้ที่ ... ว่าด้วยทำบุญต้องมุ่งนิพพาน
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
บารมีเป็นคุณธรรมที่ทำให้ถึงฝั่ง คือการดับกิเลส ตามความเป็นจริงแล้ว ก็ไม่มีตัวตน แต่การอบรมบารมีนั้น แม้คราวที่พระองค์เป็นพระโพธิสัตว์ยังไม่ได้ดับกิเลส แม้ความเห็นผิด หรือชาตินั้นก็ไม่มี สติปัฏฐานเกิด หรือไม่ได้อบรมเจริญสติปัฏฐาน แต่ก็สามารถอบรมบารมีได้ เพราะบารมีไม่ได้หมายถึงต้องไม่มีตัวตน (สติปัฏฐานเกิด) แต่หมายถึงการเห็นโทษของกิเลสและการเกิด จึงอบรมบารมี ซึ่งเป็นกุศลประการต่างๆ มีเมตตา เป็นต้น
โดยปัญญาที่เกิด (ปัญญาบารมี) ไม่ได้หมายถึง สติปัฏฐานเสมอไป ดังนั้น ตามความเป็นจริง ก็ไม่มีตัวตนเจริญแน่นอน แต่ขณะใดที่สติปัฏฐานไม่เกิดแม้อบรมบารมีก็ยังมีความเป็นตัวตนอยู่ครับ (สติปัฏฐานไม่เกิด)
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย