การเล่าเรียนกับการรู้สภาพที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง
การศึกษาเล่าเรียนเรื่อง จิต เจตสิก รูป นั้น มีอิทธิพลต่อการระลึกรู้สภาพธรรมะของ จิต เจตสิก รูป ที่กำลังปรากฏหรือไม่ เปรียบเทียบระหว่างคนที่เจริญวิปัสสนา โดยไม่ได้ เรียนอภิธรรม กับผู้ที่เรียนอภิธรรมถ้าปัจจัยอื่นใกล้เคียงกัน จะได้เปรียบเสียเปรียบหรือไม่
ในยุคปัจจุบันนี้ ผู้ที่อบรมเจริญวิปัสสนาโดยไม่ได้ศึกษาพระอภิธรรม หรือ ไม่ได้รู้ พระอภิธรรม เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะอารมณ์ของวิปัสสนา คือ อภิธรรม หรือปรมัตถธรรมนั่นเอง แม้ผู้ศึกษาพระอภิธรรม และพระไตรปิฎกมาหลายปี ยังไม่ค่อยจะเข้าใจและรู้จิต เจตสิก รูป ที่กำลังมี กำลังปรากฏเลย ไม่ต้องพูดถึงผู้ที่ไม่ได้ศึกษาเลย ดังนั้นการศึกษาพระธรรมโดยละเอียด การเป็นพหูสูต ย่อมมีอุปการะแก่การอบรมเจริญวิปัสสนาเป็นอย่างมาก ถ้าไม่ได้ฟัง ไม่ได้ศึกษาพระธรรมโดยละเอียดย่อมไม่มีโอกาสที่ปัญญาขั้นวิปัสสนาจะเจริญได้เลย บางคนอาจจะใช้ชื่อว่านั่งวิปัสสนา แต่ไม่ใช่วิปัสสนาตามคำสอนของพระพุทธองค์
ผู้ที่ไม่มีความรู้ความเข้าใจเรื่องจิต เจตสิก รูป ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงเกิดขึ้นและ ดับไปอยู่ตลอดเวลา เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย หากปัญญาขั้นแรกๆ ที่จะเข้าใจ ในลักษณะสภาพธรรมตามความเป็นจริงซึ่งเกิดดับอยู่ยังไม่มี ปัญญาขั้นสูงขึ้น แต่ละขั้นที่จะดับกิเลสย่อมไม่เกิด ฉะนั้นปัญญาขั้นวิปัสสนาย่อมเจริญไม่ได้เลย
ขออนุโมทนาค่ะ
ผู้ที่เจริญภาวนาจนบรรลุเป็นพระอรหันต์ ดับกิเลสได้หมดสิ้น โดยไม่ต้องฟังไม่ต้องศึกษาจากผู้อื่นต้องเป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือ พระปัจเจกพุทธเจ้า เท่านั้น ส่วนสาวกทั้งหลายเป็นผู้ฟัง เป็นผู้ศึกษาตาม
ถ้าหากเป็นการภาวนาเพื่อจุดประสงค์อื่นที่ไม่ใช่เพื่อการดับกิเลส อาจไม่จำเป็นต้องอาศัยการศึกษาพระธรรมก็ได้ แต่จะกล่าวตู่ว่านั่นเป็นการศึกษาและปฏิบัติตามคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระบรมศาสดาไม่ได้ และไม่อาจนำมาเปรียบเทียบกันได้ครับ
ถ้าไม่ได้ศึกษาเรื่องราวของลักษณะสภาพธรรมที่กำลังปรากฎ แล้วจะรู้ตัวจริงของ ธรรมะได้อย่างไร
ขออนุโมทนาค่ะ
จุดประสงค์ของการศึกษาอภิธรรมเพื่อให้เข้าถึงสภาพธรรมทั้งหลายไม่ใช่สัตว์บุคคล เราอยู่ในโลกของสมมติบัญญัติหรือปรมัตถ์ ผู้ที่มีปัญญาจะไม่ติด รู้แล้วละค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ขณะที่มีการระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงขณะนั้นจิตมี ปรมัตถธรรม เป็นอารมณ์
ปรมัตถธรรมคือ จิต เจตสิก รูป นิพพาน
แยกโดยย่อ คือ นามธรรม และรูปธรรม.การที่จะรู้จักสภาพธรรม นามธรรม และรูปธรรม ได้ ก็ต้องมาจากการศึกษาขั้นปริยัติก่อน เป็นเบื้องต้นข้ามขั้นไม่ได้ค่ะ......เพราะสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ถ้าไม่เล่าเรียน ศึกษา ไม่เทียบเคียงกับพระไตรปิฎก ก็ไม่มีทางรู้ได้ด้วยการคิดเอง อย่างแน่นอนที่สุด.
จากการศึกษาขั้นฟัง คือพื้นฐานพระอภิธรรม
การที่สติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมเพื่อละคลายความยึดมั่นในขันธ์ (นาม และ รูป) ว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน.หากไม่มีการศึกษาจนเข้าใจ ปรมัตถธรรม การระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ก็ไม่มีทางเกิดได้ ไม่มีทางเกิดได้ เพราะ แม้แต่ ความหมาย ของสิ่งที่จะรู้ คือ สภาพธรรม หมายถึงสิ่งใด ก็ยังไม่รู้แล้วจะระลึกรู้สภาพธรรม ได้อย่างไร (โดยเหตุ และ ผล)
การศึกษาพระธรรมเป็นเรื่องไม่บังคับ ไม่ฝืนอัธยาศัยค่ะใครเห็นคุณค่าก็ศึกษา โดยต้องเริ่มจากขั้นปริยัติก่อนจะถูกต้องตามอัธยาศัยหรือไม่
ผู้นั้นย่อมรู้ได้ด้วยตนเอง ผู้ที่ค้นหาสัจจธรรม ด้วยความจริงใจย่อมน้อมจิตลงสดับฟังก่อนแม้จะมีการสงสัย เปรียบเทียบก็เป็นธรรมดา ของผู้ที่สะสมมา ที่จะมีปกติช่างสงสัยแต่คิดว่าการรับฟังก่อน ด้วยดีแล้วค่อยพิจารณาอย่างละเอียดจะเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วย ก็เป็นเรื่องธรรมดาค่ะเพราะท่านมีสิทธิ ที่จะเลือก ด้วยตนเองว่า นี้ใช่หนทาง ที่ถูกต้องหรือไม่ หลังจากการฟังด้วยดีก่อนแล้วจึงจะตัดสินใจ เลือกหนทางนั้น ด้วยตนเอง ด้วยความสมัครใจค่ะ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
การศึกษาพระอภิธรรม จุดประสงค์ต้องไม่ลืมว่าเพื่อเข้าใจสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ เริ่มด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่จำ ดังนั้นหากศึกษาผิดเพราะไม่เข้าว่าพระอภิธรรมอยู่ในชีวิต ประจำวัน ก็ศึกษาแต่ชื่อ จำได้หมดว่า จิตมีเท่าไหร่ แต่ไม่รู้ว่าสภาพธรรมมีอยู่แล้วใน ขณะนี้ ดังนั้นการศึกษาอภิธรรมที่ถูกต้อง ก็เพื่อละ ละความไม่รู้ ไม่รู้ในสภาพธรรมที่มี ในขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เราครับ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นเสมอไปว่าศึกษาอภิธรรมก็จะ เข้าใจถูกในสภาพธรรม แต่ถ้าเป็นการศึกษาที่ถูกต้องโดยเริ่มจากความเข้าใจ (เข้าใจว่าอภิธรรมอยู่ในขณะนี้) ไม่ใช่จำแล้วก็จะนำไปสู่การรู้ลักษณะของสภาพธรรม ที่มีในขณะ นี้ได้ครับ
ขออนุโมทนา
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์