เหมือนคนตาบอดตั้งแต่กำเนิด
อบรมเจริญปัญญาเพื่อรู้แจ้งความจริง จึงหายมืดบอด แล้วจะอิสระจากอวิชชาและโลภะ เพราะ ปัญญาคือแสงสว่าง
สาธุ
อนึ่งผู้ที่เห็น คุณค่าในการฟังพระสัทธรรม ถึงจะยังตาบอดอยู่ก็คงไม่บอดสนิท มีหวังที่จะตาสว่างได้ในอนาคต จิรกาลภาวนา
ผู้ที่มีโอกาสได้ฟังพระธรรมในชาตินี้ ก็ย่อมที่จะพ้นจากความเป็นปุถุชนผู้ไม่ได้สดับได้บ้าง (เล็กน้อย) แต่พระธรรมก็ลึกซึ้งมาก ไม่อาจหยั่งถึงได้ด้วยการตรึก จึงควรจะสดับฟังเพื่อให้เกิดความเห็นถูกต่อไป จนกว่าจะเกิดปัญญา เห็นโทษของอวิชชาที่กางกั้นไว้ให้เป็นผู้ที่มืดบอดที่ไม่เห็นสัจจธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง บ่อน้ำ (พระนิพพาน) ยังอีกไกล ฝั่งโน้น (พระนิพพาน) ยังอีกไกล อาจหาญ ร่าเริง ในพระสัทธรรมต่อไป
...ขออนุโมทนาครับ...
กำเนิดตาบอดมาแล้วนานแสนนานไม่รู้กี่อสงไขกัปป์ น่าสงสัยนะเริ่มบอดเมื่อไหร่ มารู้ตัวอีกที่ก็บอดแล้วเหมือนไม่ยุติธรรม แล้วก็ต้องมีภาระเดินทางไกล อาจหาญ ร่าเริงข้ามฝังมุ่งสู่นิพพานอีก
ขออนุโมทนาค่ะ
เป็นผู้รู้ตัวว่าตาบอดแล้วดีกว่าไม่รู้ค่ะ กรรมยุติธรรมไม่มีอะไรเท่า สร้างเหตุมานานในสังสารวัฏฏ์ให้ต้องตามืดบอด ไม่รู้ความจริง ไม่รู้จักธัมมะ จะไปโทษใครละคะ ก็ต้องเป็นเรานี่แหละ จะเป็นคนอื่นได้ยังไงที่ต้องบอด การจะเป็นผู้มีตาดี คือ ต้องมีปัญญา ฟังพระสัทธรรม คือ ยารักษาที่ถูกโรค ใช้เวลาในการรักษานาน ต้องรอ ต้องอดทน และต้องฟัง ฟัง ฟัง ฟังด้วยความนอบน้อมและตั้งใจ ฟังด้วยความเคารพในพระสัทธรรมนั้น เพื่อสะสมความเข้าใจถูก อบรมเจริญปัญญาให้งอกงาม คงถึงความเป็นผู้มีตาดีไม่บอดในสักวัน ในอนาคตกาลเบื้องหน้าโน้น
เมื่อทราบว่า หนทางนั้นมีก็ค่อยๆ สะสมเหตุปัจจัยค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไปค่ะ.
ขออนุโมทนาค่ะ
มืดบอดมานาน เมื่อก่อนรักษาผิดวิธี บัดนี้ พบแล้วผู้ที่รักษาถูกและตรง แต่เนื่องจากบอดนานเกินไป การรักษาจึงต้องใช้เวลานานมากๆ วิธีรักษาไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องทำอะไรที่ผิดปกติ เพียงค่อยๆ ฟังพระธรรม และพิจารณาสิ่งที่ได้ยิน ได้ฟัง ไม่เร่งรีบ ไม่ต้องรอว่า "เมื่อไร?" แม้จะยังไม่เห็นชัดเจน แค่เห็นลางๆ ก็ยังดี
ที่นี่สงบ ที่นี้น่ารื่นรมณ์ ที่นีมีกำลังใจ ที่นี่มีความหวัง ที่นี่มีมิตรสหายร่วม เดินทาง
ขออนุโมทนา ครับ
แม้หนทางยังอีกแสนไกล การที่จะเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง ได้นั้นไม่ใช่จะเป็นไปได้ง่ายๆ และรวดเร็ว จิรกาลภาวนาค่ะ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
[เล่มที่ 39] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ ๑๙
อีกนัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือนจักษุแพทย์ เพราะทรงลอกพื้นชั้นโมหะออกได้แล้ว พระธรรมเปรียบเหมือนอุบายเครื่องลอกพื้น [ตา] พระสงฆ์ผู้มีพื้นชั้นตาอันลอกแล้ว ผู้มีดวงตาคือ ญาณอันสดใส เปรียบเหมือนชนที่ลอกพื้นตาแล้ว มีดวงตาสดใส. บอดเพราะความไม่รู้ อบรมปัญญาจนค่อยๆ ลอก ความไม่รู้ออกทีละเล็กละน้อย ค่อยๆ ตาสว่างขึ้น เพราะปัญญาทำให้สว่าง แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี
ขออนุโมทนา
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ผมคิดว่าเมื่อได้ฟังพระสัทธรรม จึงรู้ว่าตัวเองตาบอดและ การได้ฟังพระสัทธรรมจึงรู้ว่ามีแสงสว่าง และก็ยังมีหนทางนำไปสู่แสงสว่างนั้น ชีวิตจึงค่อยๆ ดำเนินไปด้วยความอาจหาญร่าเริง (ต่อผลของกรรมและอกุศลวิบากต่างๆ ) เพราะรู้ว่าหนทางที่มั่นคงอยู่ข้างหน้า ผู้ที่ไม่ได้ยิน ได้ฟังและไม่ใส่ใจในพระสัทธรรม ก็ไม่รู้ว่าตัวเองตาบอด ก็ยังคงร่าเริงกับกิเลสต่างๆ นานาในความมืดสนิท
ขออนุโมทนากับกุศลจิตของทุกท่านครับ