จม. ถึงท่านอาจารย์ - ไม่ต้องคำนึงถึงกาลเวลา ว่ากี่ปีแล้ว
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การบรรยายธรรม โดย อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ถอดเทปโดย คุณย่าสงวน สุจริตกุล
วันนี้ ขอตอบจดหมาย ของท่านผู้ฟังท่านหนึ่งขอเชิญท่านผู้ฟัง ช่วยอ่านด้วยค่ะ
วันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๙
เรียน ท่านอาจารย์ ที่เคารพยิ่ง
จดหมายฉบับนี้ ผมเรียนมาเพื่อขอความเข้าใจ ในการเจริญสติปัฏฐาน เพิ่มขึ้นอีก.เนื่องด้วย ท่านอาจารย์ กล่าวเสมอว่าสติปัฏฐาน เป็นเรื่องละเอียดมาก
กระผม จึงขอนำความเข้าใจในการเจริญสติและการปฏิบัติ และความรู้ที่เกิดขึ้นอันเป็นผลมาจากการเจริญสติของกระผมเรียนให้ท่านอาจารย์ทราบ เพื่อขอแนวทางและคำแนะนำต่อไป
การเห็น เป็นเพียงนามธรรม และสีที่ปรากฏเป็นปัจจัยให้มีการเห็นเกิดขึ้นและเป็นเพียงรูปธรรมเท่านั้น เสียงและได้ยินและทางทวารอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน สภาพธรรมทั้งหลายที่ปรากฏเป็น "เรา " เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รู้รส รู้เย็น ร้อน อ่อน แข็ง คิดนึก เป็นสุข เป็นทุกข์ ต่างๆ หาใช่ "เรา" หรือสัตว์ บุคคล ตัวตนไม่เป็นแต่เพียงนามธรรม และรูปธรรมเท่านั้น ตามความพอใจของผมขณะนี้ รู้ว่า คำว่า นามธรรมและรูปธรรม มีลักษณะปรากฏให้รู้ได้ไม่ใช่เป็นคำที่นำไปใช้ท่องจำ คิดนึกถึงชื่อหรือจิตใจ หรือพอเข้าใจความหมายบ้างก็จดจ้องอยู่ที่นามนั้น รูปนั้น (แต่) สติไม่ได้เกิดขึ้นระลึกรู้สภาพจิตที่จดจ้อง ต้องการและสภาพธรรมอื่นๆ ที่ปรากฏ
การปฏิบัติ คือ ก็คือสังเกต สำเหนียก ศึกษาสภาพธรรมต่างๆ ที่ปรากฏให้รู้ได้ โดยไม่มีการเจาะจงในนามหนึ่งนามใด หรือรูปหนึ่งรูปใดเป็นไปอย่างปกติที่สุด ตามความรู้ที่ได้ นามธรรมและรูปธรรมไม่อยู่ใต้อำนาจบังคับบัญชาของใครเลยไม่สามารถจะให้เป็นไปตามปรารถนาได้
ขอยกตัวอย่าง เช่น ขณะที่มีการเห็นเกิดขึ้นก็มีการรู้ในสิ่งที่ปรากฏว่าเป็นอย่างไร มีความรู้สึกชอบ หรือไม่ชอบ หรือเฉยๆ อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดร่วมด้วย โดยที่ยังไม่ทันตรึก นึกถึงเลยแม้ความตรึก นึกคิด ก็หาบังคับได้ไม่ ทางทวารอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน.
จากปรากฏการณ์ของธรรมชาติที่เป็นเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าที่ว่า "เป็นเรา" เราเห็น เรารู้เรื่อง เราต่างๆ ที่แท้ก็คือ นามธรรมและรูปธรรมแต่นามธรรม และ รูปธรรม หาใช่ของเราไม่ (แต่) เป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้น เพราะเหตุปัจจัยที่สลับซับซ้อนมากนั้นเมื่อศึกษา สังเกตบ่อยๆ พร้อมด้วยความรู้ ความเข้าใจ ในการเจริญสติปัฏฐานเพิ่มมากขึ้น ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมก็จะค่อยๆ ปรากฏขึ้น (และ) ต่อจากนี้ไป ก็เป็นเรื่องของปัญญาและบารมีของแต่ละท่านที่อบรมสะสมมา
ที่กระผม เรียนให้ท่านอาจารย์ทราบถึงความเข้าใจ การปฏิบัติและความรู้ที่ได้จากการปฏิบัติก็เพื่อขอคำแนะนำ แก้ไขส่วนที่หากมีการบกพร่อง ผิดพลาดไป ด้วยตระหนักอยู่เสมอว่าความเข้าใจที่ถูกต้อง เป็นของที่ยากยิ่ง มีหนทางเดียว มีนิพพานเป็นผลอันสูงสุดหากยังไม่ได้ประจักษ์ ในลักษณะของพระนิพพานแล้วความลังเล สงสัย ก็ยังมีอยู่ ผลทั้งหลายที่เกิดขึ้นแล้ว กำลังเกิดขึ้น และที่จะเกิดขึ้นต่อไปย่อมเป็นไปตามเหตุทั้งสิ้น.
ขอท่านอาจารย์ จงเป็นสื่อ แห่งแสงสว่าง บรรยายธรรมะ อันละเอียดลึกซึ้งต่อไปนานๆ เพื่อผู้ที่ใคร่ในธรรมทั้งหลายจะได้พิจารณา เข้าใจในพระธรรม ที่ท่านอาจารย์รู้เพื่อเป็นเหตุ ที่จะนำไปสู่ผลอันสูงสุดด้วย.กระผมมีความเข้าใจในการเจริญสติปัฏฐาน และเพื่อเจริญสติ แผ่ประโยชน์ที่ได้รับในขณะนี้ คือ
๑. พอรู้ความต่างกันของนามธรรมและรูปธรรม บ้างแล้ว.
๒. ได้รู้ถึงสภาพของจิตที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน อกุศลจิตเกิดมากกว่ากุศลจิตเทียบกันไม่ได้เลย.
๓. แม้อกุศลจิตจะเกิดขึ้น ตามเหตุปัจจัยที่สะสมมาก็จริง แต่ก็มีกำลังน้อยลงกว่าตอนที่ยังไม่เข้าใจเรื่องการเจริญสติปัฏฐาน.
๔. ความฟุ้งซ่าน สับสนของจิตลดน้อยลง.
สุดท้ายนี้ ด้วยเห็นว่า พระธรรมนี้มีคุณประโยชน์ต่อชีวิตเป็นอย่างยิ่ง.ถ้าจดหมายนี้มีสาระ และจะถูกนำออกอากาศทางวิทยุสู่ท่านผู้ฟังเป็นจำนวนมากกระผมก็ถือโอกาสนี้ ขอวิงวอนต่อท่านที่รู้ในธรรมทั้งหลายที่เคยกรุณา ส่งความคิดเห็นของท่านมาทักท้วง ขัดแย้งธรรมที่ท่านอาจารย์สุจินต์บรรยาย ก็ตามหรือท่านผู้ใด ก็ตามที่จะส่งมาทักท้วงขัดแย้งอีก กระผมใคร่ขอความเมตตา จากท่านทั้งหลายโปรดบอกข้อปฏิบัติ และความรู้ในธรรมของท่านบ้างเถิดเพื่อเป็นธรรมทานแก่กระผม และผู้ฟังธรรมทั้งหลายด้วย.
กระผมขอกราบขอบพระคุณแด่ท่านผู้รู้ในธรรมทั้งหลายด้วยหวังความเมตตา กรุณา อนุเคราะห์ เกื้อกูลในธรรมจากทุกท่าน
ท่านอาจารย์ ข้อความตอนท้าย ท่านเขียนว่า "ข้อความใน ป.ล. ไม่ต้องนำออกอ่าน ก็ได้ครับ" ป.ล. เพราะกระผม มีพื้นฐานทางจิตแย่มาก จิตไม่อ่อนโยนเท่าที่ควร มิฉะนั้น ผลจากการฟังธรรมบรรยายของท่านอาจารย์มานานถึงสองปีกว่าควรจะเกิดขึ้น ให้ปัญญาเจริญมากกว่านี้ และบรรลุคุณธรรมตามขั้นที่ควรจะเป็นไป ทั้งๆ ที่สติเกิดขึ้นระลึกรู้ถึงสภาพธรรมที่ปรากฏบ้างแล้ว และเข้าใจว่า รูปธรรมไม่ใช่ธาตุรู้ รูปไม่สามารถรู้อะไรได้เลย ธาตุรู้ ก็เป็นเพียงธาตุรู้เท่านั้น แต่ความเห็นผิดก็ยังมีอยู่เสมอ หลงลืมสติเสมอยังยึดรูปว่าเป็นตัวตนเสมอ กระผมจะเพียรเจริญสติให้มาก เพื่อเป็นเหตุ ให้ปัญญาเกิดเกื้อกูลให้เป็นเหตุ ที่สมควรแก่ผล อันสูงส่งให้ได้
ขอท่านอาจารย์ ได้กรุณาบรรยายธรรม ต่อไปอีกนานๆ นะครับ เพื่อเกื้อกูลกระผมและท่านผู้ฟังอีกเป็นจำนวนมาก ทางวิทยุเพื่อความเห็นถูก และผู้ใคร่ในธรรมทั้งหลายต่อไป.
กระผมขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง แด่ท่านอาจารย์ ไว้ในที่นี้ด้วยครับ
ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง
"จาก.....ท่านผู้ฟังท่านหนึ่ง"
ขออนุโมทนา
ท่านอาจารย์ ที่อ่านตอนท้ายของจดหมาย ให้ท่านผู้ฟังได้รับฟังด้วยก็เพื่อที่จะให้เห็นผล ซึ่งเกิดจากการปฏิบัติ ซึ่งท่านผู้ฟังท่านนี้ได้ทราบว่า ตัวของท่านเอง มีพื้นฐานของจิตแย่มากคือ จิตไม่อ่อนโยนเท่าที่ควร มิฉะนั้นผลจากการฟังธรรมะบรรยายมาถึงสองปีกว่าควรจะให้ปัญญาเกิดขึ้นมากกว่านี้และบรรลุคุณธรรมตามขั้นที่จะเป็นไป
สองปีกว่าเท่านั้นนะคะ กับผู้ที่จะบรรลุเป็นพระอริยบุคคลซึ่งได้อบรมปัญญาบารมี เป็นกัปป์ๆ ได้รับฟังพระธรรมจากพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าหลายๆ พระองค์กับการที่ท่านผู้ฟังท่านนี้ ได้รับฟังพระธรรมมาสองปีกว่าและปรารถนาจะบรรลุผลหลายๆ ขั้น
นี่ก็เป็นสิ่งที่จะเปรียบเทียบให้เห็น "ความจริง" ว่าการขัดเกลากิเลส การละคลายกิเลส จนถึงความดับกิเลส เป็นสมุจเฉทตามความเป็นจริงแล้ว ไม่ใช่ง่ายหรือว่าจะเป็นไปได้อย่างรวดเร็วเพราะฉะนั้น ที่ถูกแล้ว ไม่ควรจะคิดถึงผลเลย
ทำไมจะต้องคอยคิดคำนวณ เวลา กับ ผล
ขณะใดที่สติเกิด ก็ศึกษา สังเกต สำเหนียก ที่จะรู้ชัดในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แล้วก็หมดไป
แต่ว่าลักษณะของสภาพธรรม ซึ่งเกิดสืบต่อ ทำให้ไม่ประจักษ์ชัด ในการดับไปของสภาพธรรม ซึ่งได้ดับไปแล้วเพราะว่า ยังไม่ได้สังเกต สำเหนียก รู้ชัดในลักษณะของสภาพธรรม แต่ละลักษณะ แต่ละทาง เช่น ทางหู สภาพธรรมดับไปอีกแล้ว อะไรดับ สภาพนามธรรมหรือสภาพของรูปธรรม
เป็นเรื่องของ ปัญญา จะต้องรู้ชัดจริงๆ และไม่ต้องคำนึงถึงกาลเวลา ว่ากี่ปีแล้ว เมื่อสติเกิด ก็ศึกษา เพื่อที่จะให้เกิดปัญญา เกิดความรู้ชัด ในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติ ตามความเป็นจริง
ถ้า ปัญญา คือ ความรู้เกิดขึ้นแล้วไม่ต้องเป็นห่วง เพราะว่าความรู้ ซึ่งเกิดขึ้นก็จะค่อยๆ เพิ่มขึ้นอาจจะเป็นทีละเล็ก ทีละน้อย ทางตาบ้าง ทางหูบ้าง ทางลิ้นบ้าง ทางจมูกบ้าง ทางกายบ้าง ทางใจบ้างนี่ก็เป็น ความรู้ แล้ว คือเป็น ความรู้จริงๆ ในลักษณะ ของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏ.
เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ใช่ ความรู้จริง ก็ไม่ควรจะยินดี หรือว่า พอใจหรือคิดว่าเป็นผลของการปฏิบัติแล้ว เพราะว่า ผลของการปฏิบัติอยู่ที่ทุกขณะที่สติเกิดแล้วเริ่มสำเหนียก สังเกตุที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏจนกว่าจะเป็นความรู้ชัดนี่คือ "ผล"
เพราะฉะนั้น วิปัสสนาญาณต่างๆ ก็ไม่ใช่อื่นไกล นอกจาก"ความรู้ชัด" พร้อม "สติ" ที่กำลังระลึกรู้ในลักษณะ ของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏนั่นเอง ไม่ใช่ขณะอื่นเลยค่ะ.
ขณะเดียวกับที่สติกำลังระลึกแล้วปัญญา ก็รู้ชัดขึ้นๆ ช่วงระหว่างที่ชัดขึ้นๆ อาจจะต้องกินเวลานานมากเพราะว่า สภาพธรรมทั้งหลายนั้น เป็น "อนัตตา"ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา และ ปัจจัย ที่จะให้เกิด อกุศล ก็มีมากกว่า ปัจจัย ที่จะเกิดกุศล.
เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่อง"รู้ลักษณะ" ของสภาพธรรม ตามปกติ ในชีวิตประจำวันจึงจะละคลาย การยึดถือสภาพธรรม เป็นตัวตน สัตว์ บุคคล ได้.ไม่มีการข้ามไปรู้อย่างอื่นนะคะ!
สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ตามปกติ ในชิวิตประจำวันเป็นสิ่งที่ปัญญาจะต้องรู้ชัดจึงจะละคลายการยึดถือว่าเป็น ตัวตน สัตว์ บุคคล ได้.
ขออนุโมทนา
ขออุทิศกุศล แด่ คุณพ่อ คุณแม่และสรรพสัตว์.
สภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติ ในชิวิตประจำวันเป็นสิ่งที่ ปัญญาจะต้องรู้ชัดจึงจะละคลายการยึดถือว่าเป็น ตัวตน สัตว์ บุคคล ได้
กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ค่ะ
ขออนุโมทนาคุณปริศนาค่ะ
กุศลธรรมทั้งหลาย เจริญได้ช้าและยาก เพียง 2 ปี ก็ยังไม่ถึงเสี้ยวหนึ่งของกัปป์ และเทียบกันไม่ได้เลย กับผู้ที่เห็นความเปลี่ยนแปลงของตนเองอย่างชัดเจน คือ ดับกิเลสประการต่างๆ ได้เป็นสมุจเฉทแล้ว เมื่อบรรลุเป็นพระอริยบุคคลตามลำดับขั้น ด้วยการสะสมบารมีมาเป็นแสนๆ กัปป์ เมื่อเรารู้ว่าหนทางนี้ถูกแล้ว แต่ยังอีกยาวนาน ก็ค่อยๆ เจริญกุศลไป ค่อยๆ ฟังพระธรรมให้เข้าใจไปเรื่อยๆ ไม่เสียเวลาคอยหวัง หรือติดพันอยู่กับกุศลที่ได้กระทำแล้ว และผลของกุศลที่ปรารถนา ไม่เสียเวลามานั่งวัดว่า..วันนี้เป็นคนดีมากขึ้นเท่าไร แต่พิจารณาแม้อกุศลที่เกิดจากผลของกุศลที่ตนได้รับ ด้วยความไม่ประมาท เพราะโลกียกุศล / โลกียกุศลวิบาก ก็เป็นปกตูปนิสสปัจจัยให้เกิดอกุศลได้เช่นกัน
...ขออนุโมทนาครับ...