ได้ยินแล้วคิด_10

 
Khaeota
วันที่  14 ต.ค. 2551
หมายเลข  10127
อ่าน  1,305

ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ได้ยิน ท่าน อ.สุจินต์ แสดงอยู่บ่อยๆ

"ไม่มี แล้วมี แล้วหามีไม่"

ได้ยินแล้วคิดอย่างไร...

ขออนุโมทนาในกุศลจิตทุกๆ ท่านค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 14 ต.ค. 2551

ได้ยินแล้วคิครีบตอบว่า ธรรมะ (ผิดเพราะนิพพาน ก็เป็นธรรมะ) สังขารธรรมมีสามัญญลักษณะที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป บังคับบัญชาไม่ได้เกิดขึ้นเองตามเหตุและปัจจัย ขออนุโมทนาคุณกุลวิไลที่ให้ความเข้าใจที่ถูกต้อง แก้คำตอบจากธรรมะเป็นสังขารธรรมคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
kulwilai
วันที่ 14 ต.ค. 2551

ข้อความบางตอนจากมรรควรรควรรณนา พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า " ภิกษุทั้งหลาย สังขารแม้ทั้งปวงในภพทั้งหลาย มีกามภพเป็นต้น เป็นสภาพไม่เที่ยงเลย เพราะอรรถว่า มีแล้วไม่มี " ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :- สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจาติ ยทา ปญฺาย ปสฺสติอถ นิพฺพินฺทติ ทุกฺเข เอส มคฺโค วิสุทฺธิยา" เมื่อใด บัณฑิตย่อมเห็นด้วยปัญญาว่า

สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง, เมื่อนั้น ย่อมหน่ายในทุกข์ ความหน่ายในทุกข์ นั่นเป็นทางแห่งความหมดจด" สังขารธรรมเป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้น เพราะปัจจัยปรุงแต่ง ได้แก่ จิต เจตสิก และรูป เป็นสิ่งที่มีจริง มีลักษณะเฉพาะของธรรมแต่ละอย่าง (วิเสสลักษณะ) และมีลักษณะที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และเป็นอนัตตา (สามัญญลักษณะ) สังขารธรรมทั้งปวงไม่เที่ยง เกิดแล้วต้องดับ จากที่ไม่มี แล้วมีขึ้น แล้วต้องดับไป ดังที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า ไม่มีแล้วมี แล้วหามีไม่

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
suwit02
วันที่ 14 ต.ค. 2551

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Sam
วันที่ 14 ต.ค. 2551

เป็นอีกวลีหนึ่งที่ผมคิดว่าท่านอาจารย์สุจินต์ฯ พยายามสื่อความหมายถึงความเป็นจริงที่ประจักษ์ชัดได้ด้วยปัญญา ซึ่งการทำความเข้าใจขั้นการฟังและคิดตาม ดูเหมือนจะไม่ยากเท่าใดนัก แต่การที่ผู้ใดจะเข้าถึงลักษณะที่ "ไม่มี แล้วมี แล้วหามีไม่" ได้จริงๆ จะต้องอาศัยการอบรมเจริญปัญญาอีกนานแสนนาน และที่สำคัญต้องไม่ลืมว่า ก่อนที่จะรู้ชัดถึงลักษณะ "ไม่มี แล้วมี แล้วหามีไม่" ได้จริงๆ นั้น ต้องมีการรู้ชัดในความแตกต่างกันของสภาพรู้กับสภาพที่ไม่รู้อะไรเสียก่อนครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
pannipa.v
วันที่ 14 ต.ค. 2551

อนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
khampan.a
วันที่ 14 ต.ค. 2551

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ธรรมทั้งหลายทั้งปวง เป็นสิ่งที่มีจริง เป็นจริง เป็นปรมัตถธรรม ไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะ เพราะเป็นจริงอย่างไร ก็เป็นจริงอย่างนั้น
จิต มีจริง เป็นสภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับไป เจตสิก มีจริง เป็นสภาพธรรมที่เกิดพร้อมกับจิต ดับพร้อมจิต รู้อารมณ์เดียวกันกับจิตอาศัยที่เกิดที่เดียวกันกับจิต เกิดแล้วก็ดับไป รูป, รูปธรรม เป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร เป็นสิ่งที่มีจริง เกิดแล้วก็ดับไป ไม่มีใครทำอะไรให้เกิดขึ้นได้ แต่สภาพธรรมเกิดแล้ว มีแล้วในขณะนี้
จากที่ไม่มี แล้วเกิดมีเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไปไม่มีอะไรเหลือ มุ่งถึงสภาพธรรมที่เป็นสังขารธรรมเท่านั้น เพราะเป็นสภาพธรรมที่ไม่เที่ยง (เพราะเกิดดับ) เมื่อไม่เที่ยง จึงเป็นทุกข์ (เพราะทนอยู่ไม่ได้ คือเกิดแล้วก็ต้องดับไป) และเป็นอนัตตา (ไม่ใช่สัตว์ บุคคลตัวตนไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร) สภาพธรรม เป็นเรื่องที่ควรศึกษาอย่างยิ่ง เพราะเป็นชีวิตประจำวัน เป็นสิ่งที่มีจริงเป็นของจริง และสิ่งที่มีจริงทั้งหลายเหล่านี้นี่เองที่ทำให้ผู้ที่รู้แจ้ง บรรลุถึงความเป็นพระอริยบุคคล ดับกิเลสทั้งหลายได้ ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
wannee.s
วันที่ 14 ต.ค. 2551

จิตดวงหนึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไป เป็นปัจจัยให้จิตดวงใหม่เกิดขึ้นแล้วดับ ขณะที่เราฟังธรรมเข้าใจ จิตก็เกิดดับสืบต่อสั่งสมไว้ไม่สูญหาย เป็นปัจจัยให้ฟังอีกก็เข้าใจขึ้นอีก

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
paderm
วันที่ 14 ต.ค. 2551

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ไม่มี แล้วมี แล้วหามีไม่

ไม่มี สภาพธรรมจะเกิดขึ้นก็ต้องอาศัยเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้น การเห็นจะเกิดขึ้นก็ ต้องอาศัยตา สีมากระทบตา แสงสว่าง การใส่ใจถึง การเห็นจึงเกิดได้ ขณะหลับสนิทไม่มีการเห็น เพราะเห็นยังไม่เกิด ดังนั้น ไม่มี คือสภาพธรรมนั้นยังไม่เกิดขึ้น ยังไม่มีเหตุปัจจัยให้สภาพธรรมนั้นเกิดขึ้น

แล้วมี เมื่อมีเหตุปัจจัยสภาพธรรมนั้นจึงเกิดขึ้น เมื่อตื่นขึ้น มีการเห็นเพราะมีเหตุปัจจัยให้การเห็นเกิดขึ้นจึง แล้วมี (สภาพธรรม) เพราะเกิดขึ้นนั่นเอง

แล้วหามีไม่ สภาพธรรมที่เป็นสังขารธรรมเกิดขึ้นแล้วต้องดับไป เมื่อเห็นเกิดขึ้นแล้วก็ต้องดับไป เมื่อดับไปแล้วก็หามีไม่ ไม่สามารถจะนำเห็นที่ดับไปแล้ว กลับมาได้ เลย เหมือนบุคคลลงไปในกระแสน้ำ น้ำย่อมพัดผ่านร่างกายเขาไป ไม่ใช่กระแสน้ำอันเก่าเลย สภาพธรรมก็เหมือนกัน เกิดขึ้นและดับไป ใหม่ตลอด ไม่มีแล้วมี แล้วหามีไม่

หามีไม่ในสิ่งที่ดับไปแล้ว การอบรมปัญญา จึงรู้ขณะที่กำลังปรากฏ ขณะที่มี สิ่งที่ไม่ปรากฏ ยังไม่มี ก็รู้ไม่ได้ ขณะที่ดับไปแล้ว ก็ดับไปแล้ว รู้สภาพธรรมที่กำลังมี เพราะปรากฏให้รู้ ขณะปัจจุบัน

ขออนุโมทนา

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
เมตตา
วันที่ 15 ต.ค. 2551

สังขารธรรมทั้งปวงไม่เที่ยง เกิดแล้วต้องดับ จากที่ไม่มี แล้วมีขึ้น แล้วต้องดับไปดังที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า ไม่มี แล้วมี แล้วหามีไม่

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
orawan.c
วันที่ 15 ต.ค. 2551

ถ้าเป็นขั้นละเอียดระดับวิถีจิต

ไม่มี คือ ขณะเป็นภวังคจิต เพราะไม่มีลักษณะสภาพธรรมปรากฎ

แล้วมี คือ ขณะเป็นวิถีจิต เพราะมีลักษณะสภาพธรรมปรากฎทางใดทางหนึ่งใน ๖ ทาง คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และ ใจ

แล้วหามีไม่ คือ ขณะเป็นภวังคจิตที่เกิดสลับกับวิถีจิต

เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ตลอดสังสารวัฏฏ์ จนกว่าจะออกจากสังสารวัฏฏ์ได้ด้วยการอบรมเจริญปัญญาทีละเล็กทีละน้อย

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
ปทปรม
วันที่ 15 ต.ค. 2551

บุคคลเห็นสิ่งใด สิ่งนั้นก็ไม่ได้เห็น

สิ่งใดเห็นแล้ว ก็ไม่เห็นสิ่งนั้น

เมื่อไม่เห็น ก็หลงติด

เมื่อติด ก็ไม่หลุดพ้น ดังนี้

(ทีฆนิกาย มหาวรรค)

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
suwit02
วันที่ 15 ต.ค. 2551

ที่นี่น่ารื่นรมย์

ขอพระสัทธรรมอันงดงาม บังเกิดแต่ดอกบัว

คือพระโอษฐ์ของพระสัมพุทธเจ้าผู้เป็นที่พึ่งของสรรพสัตว์

ทำให้ใจของท่านทั้งหลายเบิกบาน

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
happyindy
วันที่ 16 ต.ค. 2551

* * * ขออนุโมทนาค่ะ * * *

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
Khaeota
วันที่ 18 ต.ค. 2551

ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น

ขออนุโมทนาในกุศลจิตทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
เซจาน้อย
วันที่ 19 ต.ค. 2551
ขออนุโมทนาครับ
 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ