รู้ตัวไหมว่ามีศัตรู
เมื่อถูกตั้งคำถามนี้ หลายคนอาจคิดว่า เอ๊ะ เราไม่ชอบหรือเกลียดชังใครรุนแรงขั้นเป็นศัตรูหรือไม่ โดยเฉพาะสถานการณ์ปัจจุบัน ผู้คนเห็นว่าบุคคลที่มีความเห็นต่างจากตัวเองเป็นศัตรูไปหมด แต่หารู้ไม่ว่า ศัตรูที่แท้จริงก็คือ กิเลสอกุศล (โลภะ โทสะ และโมหะ เป็นต้น) ที่เกิดกับจิตของบุคคลนั้นนั่นเอง และปัญญาเท่านั้นจึงจะรบกับศัตรูได้ ท่านเริ่มรบกับศัตรูด้วยการค่อยๆ เจริญอบรมปัญญาแล้วหรือยัง
ใครๆ ก็ไม่อยากจะมีศัตรูแต่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ทุกคนต้องมีโดยเฉพาะศัตรูผู้ใกล้ชิด ศัตรูตัวจริง (กิเลสของตนเอง) อยากจะรบกับศัตรูจะรบได้อย่างไร ถ้าขาดอาวุธคือ ปัญญาตอนนี้อยู่ในขั้นเตรียม.รบด้วยการศึกษาพระธรรมเหมือนการสะสมอาวุธ ศึกษายุทธวิธี
กำลังศึกษาพระสัทธรรม เพื่อให้รู้จักศัตรูที่แท้จริง
ขออนุโมทนาผู้ตั้งกระทู้ครับ
ตกอยู่ในบ่วง
ของ
"สามสหาย"
โลภะ โทสะ โมหะ
เพราะอวิชชา
ทำให้หลงมองว่าน่ารัก
หลงกอดคอกันเป็นเพื่อนสนิท
เคยคิดว่าเป็นศัตรูซะที่ไหน
เพราะเป็นศัตรูที่อยู่ใกล้
ใกล้แค่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
แต่เหมือนอยู่ไกลถึงสุดขอบฟ้าเกินกว่าจะแลเห็น
ขณะนี้
ยังเป็นเพียงนักรบที่ไร้ปัญญา
ความชำนาญในการยิงศร
ตกใกล้เพียงคืบ
ต้องสะสมปัญญาวุธอีกนาน
ต้องฝึกปรือความชำนาญอีกมาก
ต้องศึกษาและหมั่นสังเกต
เพื่อการรู้จักศัตรูอย่างแท้จริง
กว่าจะเป็นนักรบ
ที่ยิงได้แม่น
และยิงได้ไกล
ขออนุโมทนาคุณ orawan.c
ขออนุโมทนาในกุศลจิตและกุศลวิริยะของทุกท่านค่ะ
ความไม่รู้ทำให้มักเห็นว่าศัตรูเป็นมิตร และบางคราวก็เห็นว่ามิตรเป็นศัตรู ก่อนการรบจึงต้องศึกษาให้รู้แน่ ว่าใครเป็นมิตรใครเป็นศัตรู
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า "อกุศลธรรม ๓ ประการนี้ คือ โลภะ ๑ โทสะ ๑ โมหะ ๑ เป็นอมิตร เป็นศัตรู เป็นเพชฌฆาต เป็นข้าศึกภายใน" (จาก..มลสูตร อิติวุตตกะ)
ตราบใดที่ยังเป็นปุถุชนผู้หนาแน่นด้วยกิเลส ย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่าอกุศลจิตจะไม่เกิด เพราะปกติในชีวิตประจำวันอกุศลจิตเกิดบ่อยมาก แม้แต่ขณะที่กำลังนั่งฟังพระธรรมอยู่แท้ๆ อกุศลจิตยังสามารถที่จะเกิดแทรกได้ คงไม่ต้องกล่าวถึงขณะที่ไม่ได้ฟังพระธรรมตามความเป็นจริงแล้ว อกุศลธรรมเป็นธรรม เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ไม่มีเราไม่มีเขา เกิดขึ้นเป็นไปตามการสั่งสมมาของแต่ละบุคคล เวลาที่อกุศลธรรมเกิดขึ้นกับบุคคลอื่น ดูเหมือนว่าเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจเป็นอย่างยิ่ง แต่เวลาที่เกิดกับตัวเองไม่ค่อยจะเห็น ไม่ค่อยจะรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ (คนอื่นมีกิเลส แม้เราเองก็ยังมีกิเลส) จึงเป็นเรื่องที่น่าคิดพิจารณาทีเดียว เพราะแท้ที่จริงแล้ว ขณะที่จิตเป็นอกุศลนั้น ศัตรูภายในได้เกิดขึ้นทำร้ายจิตใจของตนเองแล้ว ดังนั้น ต้องอาศัยพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง จึงจะออกจากกรงของศัตรูภายในทั้งหลายได้ เพราะเหตุว่าพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงนั้น เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชีวิตของแต่ละบุคคล เพื่อให้พิจารณาสภาพธรรมที่ตัวเองได้สั่งสมมา เป็นสำคัญ (พิจารณาตัวเอง) กิเลสอกุศลที่ได้สั่งสมมาอย่างมากมายและเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์ จะทำอย่างไรได้
นอกจากศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญา เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง เพื่อขัดเกลากิเลส อันเป็นศัตรูภายในให้เบาบางลง จนกระทั่งสามารถที่จะดับได้อย่างเด็ดขาดในที่สุด ครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
มหาภูตรูป ๔ เปรียบเสมือนอสรพิษ ๔ ตัวที่ร้อยรัดพันกายไว้ พร้อมที่จะฉกทุกเมื่อ ขันธ์ ๕ เปรียบเสมือนเพชฌฆาตทั้ง ๕ ที่คอยตามล่าอยู่ ผู้แสวงหาการเกิดอยู่เป็นนิจ นันทิราคะ (โลภะ) เป็นเพชฌฆาตคนที่ ๖ แต่เปรียบเสมือนเพื่อนสนิทในคราบของศัตรูคอยประเล้าประโลม เกลี้ยกล่อมให้จ่อมจมอยู่แต่ในวัฏฏะ อายตนะภายนอก ๖ เปรียบเหมือนโจรผู้ไล่ฆ่าฟันชาวบ้าน อายตนะภายใน ๖ เปรียบเหมือนเรือนอันว่างเปล่า หาแก่นสารให้ยึดถือไม่ได้เป็นที่ๆ เมื่อโจรผ่านมาย่อมฆ่าผู้ที่อยู่ในเรือนนั้นเพื่อชิงทรัพย์
ห้วงน้ำใหญ่ เป็นชื่อแห่งโอฆะทั้ง ๔ คือ กาโมฆะ ภโวฆะ ทิฏโฐฆะ อวิชโชฆะ ฝั่งข้างนี้ อันเป็นที่น่ารังเกียจ มีภัยอันตราย เป็นชื่อแห่งร่างกายของตน
" สัตว์ทั้งหลายเกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน เพราะศัตรูภายในของตนๆ "
" กิจใดที่ท่านควรทำ ก็จงทำกิจนั้นเสีย "
ฝั่งข้างโน้นเป็นที่เกษม ปลอดภัย เป็นชื่อแห่งนิพพาน
อ่านข้อความในพระไตรปิฏกได้ที่นี่ครับ
[เล่มที่ 28] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้าที่ ๓๖๖
ขออนุโมทนาครับ
นอกจาก ปัญญา เครื่องรู้ ตปะ เครื่องเผาความชั่ว
นอกจาก ความสำรวมอินทรีย์
นอกจาก ความสละคืนทุกสิ่งทุกอย่าง
เรามองไม่เห็นความสวัสดีของสัตว์ทั้งหลาย ดังนี้
(อรรถกถา มหาสติปัฏฐานสูตร)
khampan.a ความคิดเห็นที่ 5
ตามความเป็นจริงแล้วอกุศลธรรม เป็นธรรม เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ไม่มีเราไม่มีเขา เกิดขึ้นเป็นไปตามการสั่งสมมาของแต่ละบุคคล เวลาที่อกุศลธรรมเกิดขึ้น กับบุคคลอื่น ดูเหมือนว่าเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจเป็นอย่างยิ่ง แต่เวลาที่เกิดกับตัวเองไม่ค่อยจะเห็น ไม่ค่อยจะรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ (คนอื่นมีกิเลส แม้เราเองก็ยังมีกิเลส) จึงเป็นเรื่องที่น่าคิดพิจารณาทีเดียว เพราะแท้ที่จริงแล้ว
ขณะที่จิตเป็นอกุศลนั้น ศัตรูภายในได้เกิดขึ้นทำร้ายจิตใจของตนเองแล้ว ดังนั้น ต้องอาศัยพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง จึงจะออกจากกรงของศัตรูภายในทั้งหลายได้ เพราะเหตุว่าพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงนั้น เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชีวิตของแต่ละบุคคล เพื่อให้พิจารณาสภาพธรรมที่ตัวเองได้สั่งสมมา เป็นสำคัญ
(พิจารณาตัวเอง)
"คนอื่นมีกิเลส แม้เราก็ยังมีกิเลส" ควรพิจารณาตัวเอง
ขอบพระคุณค่ะ ขออนุโมทนา
รูปนักรบหญิงที่แขวนธนูสวยจัง เจ้าของรูปคงยิงไกลและยิงไว
อสรพิษ ๔ เพชณฆาต ๕ เพชณฆาตคนที่ ๖ โจร เรือนว่าง ห้วงน้ำใหญ่ อยู่ฝังนี้ข้ามฝังโน้น ล้วนเป็นสิ่งที่เตือนให้รู้ในชีวิตประจำวันว่า "อันตราย" จะถูกฆ่าแกงได้ตลอดเวลา แล้วเราจะรู้ไม๊นี่ ตาเห็น ไร้สาระ หูได้ยินไร้สาระ จมูกได้กลิ่นไร้สาระ ลิ้นลิ้มรสไร้สาระ กายสัมผัสไร้สาระ อยู่ในโลกแห่งความไร้สาระ เกิดแล้วก็ดับตามมีตามได้ แต่ก็ยังหลงในสิ่งที่ไร้สาระว่ามีสาระ
ขออนุโมทนาค่ะ
ศัตรูตัวฉกาจที่แท้จริง ที่แท้อยู่ด้วยกันตลอดเวลา เห็นก็เหมือนไม่เห็น
เพราะถูกศัตรูทำร้ายทิ่มแทงอยู่เกือบทุกขณะก็ไม่รู้
ศัตรูในที่ใกล้คือ กิเลสของตน หลังจากที่ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส
ตามติดมาทันทีเหมือนไม่มีระหว่างคั่น คือ
ความคิดนึก ที่ส่วนใหญ่ เป็นไปกับอกุศล
ทั้งชอบและชัง เกิดบ่อย เห็นยาก
ศัตรูในที่ไกล คือการกระทำของคนอื่น
เกิดไม่มาก เห็นง่าย ตามมาทันทีคือ
ความคิดนึกด้วยอกุศลจิตของตนที่ทำร้ายตนก่อนใคร
(บันทึกไว้ เพื่อเตือนตนเอง)
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ศัตรูที่แท้จริงคือ กิเลสประการต่างๆ ที่สำคัญก็ไม่ได้ละทิ้งโลกสมมติ ดังนั้นแม้จะคบสมาคมหรือพบเหตุการณ์ใด เมื่อปัญญาเจริญขึ้นก็สามารถมีเมตตาในบุคคลที่ดีและไม่ดีได้ ค่อยๆ อบรมจากการฟังพระธรรมครับ ขอนำคำบรรยาของท่านอาจารย์สุจินต์ มาให้อ่านกันครับ
คำบรรยายโดยท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
เรื่อง เราไม่ควรประทุษร้ายแม้แต่บุคคลที่เป็นข้าศึกต่อเรา
ท่านผู้ฟังเคยคิดอย่างนี้ไหมคะ " เราไม่ควรประทุษร้าย แม้แต่บุคคลที่เป็นข้าศึกต่อเรา " ท่านต้องรู้แน่ค่ะว่ามีใครไม่ชอบท่าน ถูกไหมคะ ท่านจะเป็นที่รักของทุกคนคงเป็นไปไม่ได้ คนที่ไม่ชอบท่านต้องมีบ้างจะมากหรือน้อยนั้นอีกเรื่องหนึ่ง บางทีท่านอาจจะเป็นบุคคลที่ดีจริงๆ นะคะ มีเมตตา กรุณากับบุคคลอื่น ไม่หวังร้าย ไม่ประทุษร้ายต่อบุคคลอื่นเลย แต่ความดีของท่าน ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่สามารถที่จะป้องกันอกุศลจิตของคนอื่น ไม่ให้ คิดร้ายหรือว่าโกรธเคืองท่านได้ เพราะเหตุว่าถึงแม้ว่าท่านจะเป็นคนดีสักเท่าไหร่ก็ตาม คนที่ไม่ชอบท่านหรืออาจจะริษยาท่านเพียงเล็กน้อย นิดหน่อยก็ต้องมี เพราะฉะนั้นถ้ากุศลจิตเกิดเหมือนอย่างพระอินทร์นะคะว่า "เราไม่ควรประทุษร้ายแม้บุคคลที่เป็นข้าศึกต่อเรา" พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ถ้าท่านน้อมนำมาประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวันก็จะเห็นได้ว่าถ้าปฏิบัติตามได้ คิดอย่างนี้บ่อยๆ เป็นกุศลจิตของท่านนะคะ แต่ว่าผู้หวังร้ายต่อท่านก็เป็นอกุศลจิตของเขา
เชิญคลิกฟังเพิ่มเติมที่นี่ครับ ...
ชนะกิเลสตนเอง ไม่ใช่ชนะกิเลสคนอื่น
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
กุศลชื่อว่ามิตร เพราะให้ความไม่มีพิษ ไม่มีภัย ไม่มีโทษและให้ผลคือความสุข สูงสุด ทำให้ตัดกิเลสได้เป็นสมุจเฉทคือ โลกุตรกุศลค่ะ ส่วนอกุศลชื่อว่าไม่ใช่มิตร เพราะ หักประโยชน์ มีโทษ ให้ผลเป็นทุกข์ เช่น ตกนรก เป็นเปรต เป็นสัตว์เดรัจฉาน ฯลฯ ค่ะ
รูปนักรบ ดูเป็นนักรบเพราะแต่งตัวสวยไปยังงั้นเอง
ลวงตา รบจริงยังไม่ได้หรอก
เพราะศัตรูร้ายอย่างกิเลสของตนเองนั้น รบยาก
กิเลสตามประหารอยู่ทุกขณะ
แถมบางทีโลภะยังชอบที่มันทำร้ายอีก
น้อยจังหวะที่หลบพ้น ต้องปล่อยให้กิเลสมันทำร้ายไปก่อน
ไว้รู้จักมันจริงๆ จับทางได้ เห็นธาตุแท้ของมันเมื่อไหร่
คงหลุดจากที่มัด ไม่มีทั้งเราไม่มีทั้งศัตรู
๑๑๑
ขออนุโมทนาในกุศลจิตและกุศลวิริยะของทุกท่านค่ะ
รูปนักรบที่สองกำลังยิงธนู สวยกว่ารูปแรกเปรี้ยวด้วย รบไม่เก่งหรือยังเปิดหกเรือนว่างให้โจรหกคนฆ่าฟันตามอำเภอใจอยู่หรือ ถูกไล่ฆ่าและถูกหลอกให้หลงจากเล็กจนโตยังไม่พออีกหรือ แล้วเมื่อไรจะรู้จักมันจริงๆ จับทางมันได้หลุดจากที่มัด ไม่เป็นความฝันหรือที่จะรู้จักจับทางและหลุด แล้วธรรมะที่เรียนอยู่นี่ล่ะ จะทำยังไง ฟังธรรมต่อดีกว่า