กรรมใหม่กรรมเก่า

 
natthaset
วันที่  21 ต.ค. 2551
หมายเลข  10178
อ่าน  1,574

เราจะรู้ได้ไหมว่า กรรมใหม่หรือกรรมเก่า ให้ผลอันไหนมาก่อนมาหลัง


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prachern.s
วันที่ 21 ต.ค. 2551

ตามหลักคำสอนมีอธิบายว่า ไม่มีใครรู้เรื่องกรรมและผลของกรรมโดยละเอียด ยกเว้นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น สำหรับการเกิดขึ้นครั้งแรกในโลกนี้เป็นผลของกรรมเก่าในอดีตแน่นอน กัมมชรูป มีจักขุปสาท โสตปสาท....ภาวรูปก็เป็นก็เช่นเดียวกัน แต่ในปวัตติกาล วิบากจิตที่เกิดขึ้นทางตาเห็น ทางหูได้ยิน เป็นต้นนั้น เราย่อมไม่ทราบว่าเป็นผลของกรรมในชาตินี้หรือชาติไหน อาจจะเป็นผลของกรรมในชาตินี้หรือชาติที่แล้วหรือชาติก่อนๆ ก็ได้ ส่วนคำว่า อโหสิกรรม มีหลายความหมาย กรรมที่ไม่ให้ผลก็ได้ กรรมที่ให้ผลแล้วก็ได้ กรรมที่กำลังให้ผลก็ได้ กรรมที่จะให้ผลก็ได้ แต่ก็ขอถามผู้ตั้งกระทู้ว่าเหตุใดจึงสนใจแต่ผลของกรรม น่าจะสนใจการทำกรรมใหม่ดีกว่านะครับ เพราะผลของกรรมที่ให้ผลในปวัตติกาลเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น คือกรรมดีให้ผลทางตา ได้เห็นสิ่งดีๆ เท่านั้น และทวารอื่นๆ ก็เช่นกัน แต่กรรมใหม่คือมหากุศลญาณสัมปยุต น่าสนใจกว่าเพราะจะทำให้ปฏิสนธิประกอบด้วยปัญญา ทำให้มีโอกาสอบรมเจริญขึ้นของปัญญา อันเป็นธรรมที่สำคัญที่จะทำให้พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้

ความหมายอโหสิกรรม ขอเชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่ ...

อโหสิกรรม

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 21 ต.ค. 2551

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เรื่องกรรม เป็นเรื่องที่ละเอียด ผู้ที่มีปัญญาในการรู้เรื่องกรรมและผลของกรรมอย่างละเอียดนั้น คือพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ในชีวิตประจำวันก็พอที่จะเห็นความวิจิตร (ความหลากหลาย) ของกรรมได้บ้าง เริ่มจากการเกิดมาเป็นมนุษย์ เป็นผลของกรรม คือเป็นผลของกุศลกรรม เมื่อได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ความหลากหลายของกรรมที่ได้กระทำแล้วในชาตินี้ รวมถึงกรรมที่ได้กระทำมาแล้วในชาติก่อนๆ ที่ผ่านมามีอย่างนับไม่ถ้วน ทั้งที่เป็นกรรมดีและเป็นกรรมที่ไม่ดี กรรมทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ เมื่อมีโอกาสที่จะให้ผลเกิดขึ้น ผลก็เกิดขึ้น จึงทำให้ได้รับในสิ่งที่ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ทำให้มีสุขบ้าง มีทุกข์บ้าง ก็เพราะกรรมที่ได้กระทำมาแล้วทั้งนั้น ซึ่งไม่มีใครทำอะไรให้ เลย แต่เป็นเพราะกรรมที่ได้กระทำมาแล้วทั้งนั้น ให้ผล

ตราบใดที่ยังมีกิเลส ไม่ว่าจะเป็นตัณหา (ความติดข้อง ยินดีพอใจ) อวิชชา (ความไม่รู้ ความหลง) เป็นต้น จึงทำให้มีการเกิดอยู่ร่ำไปในสังสารวัฏฏ์ กระทำทั้งกรรมที่ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นก็ตาม แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต คือการที่มีโอกาสได้ฟังพระธรรม พิจารณาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวัน ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการที่จะช่วยให้เราได้เห็นโทษภัยของอกุศล แล้วเป็นผู้ที่ไม่ประมาทในการดำรงชีวิต และมีและมีความมั่นคงในการอบรมเจริญปัญญา เพื่อรู้ความจริงของสิ่งทั้งปวงต่อไป ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ปริศนา
วันที่ 21 ต.ค. 2551

จากความเห็นที่ 1

"แต่ก็ ขอถามผู้ตั้งกระทู้ว่า เหตุใด จึงสนใจแต่ ผลของกรรม น่าจะสนใจ การทำกรรมใหม่ ดีกว่านะครับ"

จากความเห็นที่ 2

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต คือ การที่มีโอกาสได้ฟังพระธรรม พิจารณาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา ในชีวิตประจำวัน

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
เมตตา
วันที่ 21 ต.ค. 2551

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
choonj
วันที่ 21 ต.ค. 2551

พระพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่ควรสงสัยเรื่องกรรม เพราะเราท่านทุกตัวคนไม่มีปัญญาที่จะรู้เรื่องกรรมได้ จะบ้าเสียก่อน แต่คนเรามีลักษณะพิเศษอยู่อย่างหนึ่งคือ ชอบสงสัยไปเสียทุกอย่างแม้นเรื่องกรรม ผมก็คนหนึ่งที่สงสัยแต่ก็จนด้วยเหตุก็เลยไม่ต้องรู้เพราะรู้ไปก็เท่านั้น เช่น เราเกิดมาเป็นล้านๆ ชาติ ทำกรรมดีก็มากกรรมชั่วก็มาก เวลาได้ดี ก็บอกว่าเป็นผลของกรรมดีทีทำไว้ และเวลาเป็นทุกข์หรือประสพภัย ก็บอกว่าเป็นผลของกรรมชั่วเมื่อมีปัจจัยครบก็เกิด แล้วเราก็หาเหตุผลแย้งไม่ได้ ถ้าได้ ก็เท่านั้นเพราะเป็นเรื่องไกลตัว ผมขอสนับสนุน อ. ประเชิญ ที่ว่าสนใจกรรมใหม่ดีกว่า เมื่อเรารู้แล้วว่าการสั่งสมมีจริง ก็อบรมสั่งสมปัญญาเพื่อที่จะได้เกิดใหม่โดยมี ๓ เหตุ เมื่อเกิดใหม่และมีปัญญา ก็จะเข้าใจทุกอย่างที่ต้องการได้ ปัญญาเจริญมากๆ ถึงนิพพานเลยทีเดียว

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
paderm
วันที่ 22 ต.ค. 2551

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

กรรมใดจะให้ผลก่อนหรือหลัง บังคับบัญชาไม่ได้เป็นอนัตตาและเหลือวิสัยที่จะรู้ได้ ควรเข้าใจก่อนว่าธรรมคืออะไร กรรมคืออะไร อะไรคือผลของกรรรม ไม่เช่นนั้นก็เป็นเรื่องราว ไม่เข้าใจว่าตัวจริงมีแต่ธรรมที่เป็นกรรม ขณะที่มีเจตนาที่เป็นกุศลหรืออกุศลเป็นกรรม ขณะที่เห็นได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้กระทบสัมผัสเป็นผลของกรรม ขณะนี้เองครับ ขณะนี้มีกรรมและผลของกรรมแต่ก็ยึดถือว่าเป็นเราที่ทำกรรมและได้รับผลของกรรม เพราะความยึดถือผิดอย่างนี้จึงต้องทำกรรมและได้รับผลของกรรมต่อไป พระพุทธเจ้าทรงแสดงหนทางดับกรรม คือเข้าใจความจริงว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา แม้ขณะที่เป็นกรรมและผลของกรรมก็เป็นธรรม อบรมปัญญาตรงนี้ดีกว่าครับ

ขออนุโมทนา

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
suwit02
วันที่ 22 ต.ค. 2551

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
orawan.c
วันที่ 23 ต.ค. 2551

อดีตผ่านไปแล้ว ไม่กลับมาอีกในสังสารวัฏฏ์ สิ่งที่สะสมใหม่ได้คือความเห็น เข้าใจถูก ในความจริงเพื่อเมื่อปัญญาขั้นสูงสุดเกิดคือบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้วปรินิพพานจะได้ ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายในสังสารวัฏฏ์อีก

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
natthaset
วันที่ 25 ต.ค. 2551

ขอบคุณครับ ผมโดนถามบ่อย ตอบไม่ได้ และอยากจะถามเอาความรู้ จากความคิดเห็นของสมาชิกครับ ขอบคุณครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
คนเจ้าโทสะ
วันที่ 26 ต.ค. 2551

ปุถุชนธรรมดา ย่อมอยากทราบว่า กรรมอะไรหนอทำให้เราโดนอย่างนี้ เข้าใจคนตั้งกระทู้ ฮะแอ้ม บางโอกาสดิฉันก็อยากรู้เหมือนกัน ทั้งที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ ก็คนนี่คะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
ajarnkruo
วันที่ 26 ต.ค. 2551

ควรศึกษาในกรรมและผลของกรรมที่จะเป็นประโยชน์ต่อการเจริญปัญญาและกุศลทุกประการจะดีกว่าครับ อย่างทางตา ขณะที่กำลังเห็นอยู่นี้ กำลังได้รับผลของกรรม คือทำให้ต้องเห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็น จิตเห็นและเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยอีก 7 ดวงเป็นชาติวิบาก อาศัยจักขุปสาทรูป (ซึ่งเป็นรูปที่เกิดจากกรรม) เกิดขึ้นทำกิจ ๑ ขณะ เมื่อจิตเห็นที่เป็นผลของกรรมนี้ก็ดับไป ก็เป็นปัจจัยให้จิตดวงอื่นๆ เกิดตามจิตตนิยามจะหาความเที่ยง ความจีรังยั่งยืนในจิตเห็นที่เป็นผลของกรรมให้มายึดถือว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตนไม่ได้เลย เพราะเกิดขึ้นมาเพื่อรับผลของกรรมที่ได้กระทำไว้แล้วในอดีต ทำกิจของตนแล้วก็ดับไปเท่านั้นเอง เป็นต้นครับ ถ้าเข้าใจความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตนของสภาพธรรมที่เนื่องด้วยกรรมและผลของกรรมขึ้น ก็จะช่วยคลายความเห็นผิดที่หลงยึดถือธรรมทั้งหลายว่าเป็นเรา เป็นตัวตน เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
สุภาพร
วันที่ 31 ต.ค. 2551
ขออนุโมทนาค่ะ
 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ