ได้ยินแล้วคิด_11
ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ได้ยิน ท่าน อ.สุจินต์ แสดงอยู่บ่อยๆ "ขัดเกลา" ได้ยินแล้วคิด อย่างไร
ขออนุโมทนาในกุศลจิตทุกๆ ท่านค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ขัดเกลาต้องมีสิ่งให้ขัด ขัดสิ่งที่ไม่ดีคือกิเลส อะไรทำหน้าที่ขัดเกลา ปัญญา ปัญญาเป็นเราไหมหรือเป็นธรรม ดังนั้นเมื่อเป็นธรรมแล้วจะมีตัวเราที่จะพยายามไปขัดเกลาไหม แต่เป็นหน้าที่ของธรรมคือเมื่อปัญญาเจริญขึ้นทำหน้าที่ขัดเกลากิเลส ประการต่างๆ จุดประสงค์ของการศึกษาธรรมคือ เพื่อขัดเกลากิเลส แต่เป็นไปตามลำดับเพราะสะสมกิเลสมามาก เพราะรู้ว่ามีกิเลสมากจึงศึกษาธรรมเพื่อขัดเกลากิเลส นี่คือ เป็นจุดประสงค์ที่ถูกไม่ใช่เพื่อได้ เพื่อลาภ ยศ สรรเสริญ
ฟังพระธรรม ปัญญาขั้นการฟัง ขัดเกลากิเลส ขัดเกลาความไม่รู้ในสภาพธรรมที่ ไม่เคยรู้เลยในขั้นการฟังให้รู้ขึ้นว่าเป็นเพียงสภาพธรรม แม้จะรู้เพียงขั้นการฟัง แต่ก็ขัดเกลาทีละเล็กละน้อยเหมือนจับด้ามมีด ขัดเกลาความไม่รู้ด้วยความเข้าใจที่เกิดขึ้นจากขั้นการฟัง อันเป็นเบื้องต้นที่จะนำไปสู่การรู้ลักษณะของสภาพธรรมจริงในชีวิตประจำวันว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ขณะที่เห็นถูก ขณะที่เข้าใจขึ้น ขณะนั้นก็กำลังขัดเกลาแล้วครับ ธรรมทำหน้าที่ขัดเกลาเมื่อเข้าใจพระธรรม
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
"ขัดเกลา"
ด้วยการฟังพระธรรม ความเข้าใจเพิ่มขึ้นเท่าไร การขัดเกลาเพิ่มขึ้นเท่านั้น เป็นไปเองตามการสะสมเหตุถูกเหตุใหม่ที่เพิ่มขึ้น เพราะเป็นธรรมะที่ปฎิบัติ ทำหน้าที่ขัดเกลา มิใช่เรา
ขออนุโมทนาคุณแก้วตา
ขออนุโมทนาในกุศลจิตและกุศลวิริยะของทุกท่านค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ในชีวิตประจำวัน โดยปกติของผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่นั้น ย่อมมีทั้งกุศลบ้าง อกุศลบ้าง เป็นธรรมดา ไม่ใช่ว่าจะมีแต่อกุศลเกิดตลอดทั้งวันหรือจะมีแต่กุศลเกิดตลอดทั้งวัน
สำหรับผู้ที่ยังมีกิเลส เมื่อไม่ได้ศึกษาพระธรรม ย่อมไม่มีวันที่จะรู้ว่าตัวเองมีกิเลส และจะสั่งสมกิเลสต่อไปอย่างไม่มีวันจบสิ้น แต่พอมาได้ศึกษา จึงทำให้ได้รู้ว่าวันหนึ่งๆ เต็มไปด้วยกิเลสอกุศลนานาประการ ทั้งโลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น (ไม่ได้มีเฉพาะในชาตินี้เท่านั้น มีมานานแล้วในสังสารวัฏฏ์) พร้อมทั้งเห็นโทษภัยด้วยว่าอกุศลไม่นำประโยชน์อะไรๆ มาให้เลย อีกทั้งให้ผลเป็นทุกข์ เมื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นตามลำดับ มีปัญญาที่รู้ชัดขึ้น เพิ่มขึ้น ก็จะค่อยๆ ขัดเกลากิเลสอกุศลให้เบาบางลงได้ คลายได้ (เป็นหน้าที่ของธรรมฝ่ายดีที่เกิดขึ้นทำกิจ ไม่ใช่เราไปทำ ไม่ใช่ตัวเราที่ขัด) ถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้ดับอย่างเด็ดขาด ก็ค่อยๆ สั่งสมปัญญาไปทีละเล็กทีละน้อย ถ้าไม่มีปัญญาแล้ว ย่อมไม่สามารถที่จะขัดเกลากิเลสได้เลย ดังนั้น พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงจึงเป็นสัจจธรรม เป็นความจริง ที่ทำให้เรารู้จักตัวเราเองตามความเป็นจริง
ไม่ว่าจะเกิดความโกรธไม่พอใจขึ้น หรือเกิดความยินดีพอใจติดข้องซึ่งเป็นอกุศล หรือถ้าในฝ่ายกุศล เช่น ความเป็นผู้มีจิตใจที่ดีงาม ช่วยเหลือ สงเคราะห์ผู้อื่น มีเมตตา กรุณา เป็นต้น ก็รู้ตามความเป็นจริงได้ และที่สำคัญชีวิตของบุคคลผู้ที่มีความเห็นถูก มีความเข้าใจถูกนั้น ย่อมคิด ย่อมพูด ย่อมทำแต่สิ่งที่ดีงาม ครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
ขอทราบความคิดคุณแก้วตาผู้ตั้งกระทู้บ้างว่าได้ยินแล้วคิดอย่างไร
ขออนุโมทนาค่ะ
ได้ยินคำว่า "ขัดเกลา" คิดว่าจะขัดเกลา คิดเท่าไร ก็ขัดเกลาอะไรไม่ได้เพราะเพียงแค่คิด ยังไม่ได้รู้จักว่าที่กำลังคิด ไม่ใช่เราจนกว่าสติปัฏฐานจะเกิดระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏขณะนั้นเริ่ม "ขัดเกลา" ความไม่ดีของจริงทันที ไม่รีรอถ้าสติไม่เกิดความไม่ดีก็หลอกต่ออีกว่ามีเรามีตัวตนที่กำลังคิดดี
ขออนุโมทนาครับ
ได้ยินแล้วคิดพิจารณาให้เข้าใจ เช่น สภาพธรรมที่คิดถึงรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ด้วยความยินดี ติดข้อง พอใจ ขณะนั้นเป็นอกุศลจิต คิดด้วยโทสะ ถ้าเป็นปัญญาก็ขัดเกลาอกุศล ระลึกรู้ลักษณะของความติดข้อง หรือความโกรธ เป็นธรรมะอย่างหนึ่ง ไม่ใช่เรา ค่ะ
กิเลสที่สะสมมามากมายตั้งแต่อดีตอนันตชาติ จะให้กิเลสดับให้หมดเร็วๆ คงเป็นไปไม่ได้ จึงต้องฟังพระธรรมให้เข้าใจพระธรรม เมื่อเข้าใจพระธรรมดีแล้วก็จะรู้ว่าสภาพธรรมทั้งหลายเกิดขึ้นในชีวิตประจำวันนั้น อกุศลเกิดมากกว่ากุศลมากมาย ซึ่งต้องรู้ตามความเป็นจริงว่าเป็นเพียงธรรมะ ไม่ใช่เรา ค่อยๆ ขัดเกลากิเลสที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันค่อยๆ อบรมเจริญปัญญารู้ลักษณะสภาพธรรมในชีวิตประจำวันซึ่งมีหนทางเดียวค่ะ ขออนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตอบโดยอ้างข้อความ K orawan.c ความคิดเห็นที่ ๖
ขอทราบความคิดคุณแก้วตาผู้ตั้งกระทู้บ้างว่าได้ยินแล้วคิดอย่างไร
"น้ำหนึ่งใจเดียวกัน" ค่ะ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตทุกๆ ท่านค่ะ