หิริสูตร - ผู้มีหิริไม่มีบาป - ๐๑ พ.ย. ๒๕๕๑
สนทนาธรรมที่ ...
มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
พระสูตร ที่นำมาสนทนาที่มูลนิธิฯ
วันเสาร์ ๑ พ.ย. ๒๕๕๑ เวลา ๐๙:๐๐ - ๑๒:๐๐น.
หิริสูตรที่ ๓
ว่าด้วยผู้มีหิริไม่มีบาป
[เล่มที่ 47] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้าที่ ๑๑๓
[เล่มที่ 47] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้าที่ ๑๑๓
หิริสูตรที่ ๓
ว่าด้วยผู้มีหิริไม่มีบาป
[๓๑๖] บุคคลผู้ไม่มีหิริ เกลียดหิริ กล่าว
อยู่ว่าเราเป็นเพื่อนของท่าน ไม่เอื้อเฟื้อการงานแห่งมิตรของตน พึงรู้ว่า นั่นไม่ใช่มิตรของเรา. มิตรใดพูดวาจาน่ารัก แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ในมิตรทั้งหลาย บัณฑิตย่อมกำหนดรู้ผู้นั้นว่า ไม่ทำตามคำพูด. มิตรใดหวังความแตกกัน ไม่ประ-มาท คอยหาความผิดเท่านั้น มิตรนั้นไม่ควรเสพ ส่วนมิตรที่วางใจได้ เหมือนบุตรที่เกิดแต่อก ซึ่งผู้อื่นกล่าวเหตุตั้งร้อยอย่างพันอย่าง ก็ให้แตกกันไม่ได้ มิตรนั้นแหละ ควรเสพ. ความเพียร อันเป็นเหตุกระทำความปราโมทย์ นำความสรรเสริญมาให้ นำสุขมาให้ ผลานิสงส์อันนำธุระสมควรแก่บุรุษไปอยู่ ย่อมเจริญ. บุคคลดื่มรสแห่งความอิ่มเอิบในธรรมดื่มรสอันเกิดแต่ความสงัดกิเลส และรสแห่งความสงบแล้ว ย่อมเป็นผู้ไม่มีความกระวนกระวาย ไม่มีบาป.
จบหิริสูตรที่ ๓
อรรถกถาหิริสูตรที่ ๓
(ข้อความบางตอน)
หิริสูตร มีคำเริ่มต้นว่า หิรินฺตรนฺตํ ดังนี้.
ถามว่า มีเหตุเกิดขึ้นเป็นอย่างไร
ตอบว่า พระสูตรนี้มีเหตุเกิดขึ้น ดังต่อไปนี้ :- เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ของเราทั้งหลาย ยังไม่ทรงอุบัติขึ้นพราหมณ์มหาศาลคนหนึ่ง ในเมืองสาวัตถี เป็นคนมั่งคั่ง มีทรัพย์สมบัติถึง ๘๐ โกฏิ ก็พราหมณ์นั้นมีบุตรอยู่คนหนึ่ง ซึ่งเป็นที่รักเป็นที่พอใจ พราหมณ์นั้นเลี้ยงบุตรชายนั้นให้เจริญขึ้นด้วยอุปกรณ์ที่จะอำนวยความสุขนานัปการ ดุจเลี้ยงดูเทวกุมาร ฉะนั้น ยังไม่ทันมอบทรัพย์สมบัตินั้นให้บุตรนั้นเลย ก็ได้ถึงแก่กรรมไปพร้อมกับนางพราหมณี.
ต่อจากนั้น โดยกาลล่วงไปแห่งมารดาบิดาของมาณพนั้นผู้รักษาเรือนคลัง ก็เปิดห้องทรัพย์สมบัติ เมื่อจะมอบทรัพย์สมบัติก็พูดว่า ท่านครับทรัพย์นี้เป็นส่วนที่มีอยู่ของมารดาบิดาของท่าน ทรัพย์นี้เป็นส่วนที่มีอยู่ของปู่ย่า (ตายาย) ทรัพย์นี้ตกมาถึงชั่ว ๗ สกุล ดังนี้. มาณพเห็นทรัพย์แล้ว ก็ดำริว่า ทรัพย์นี้เท่านั้นยังปรากฏอยู่ ส่วนชนทั้งหลายผู้สั่งสมทรัพย์นี้ไว้หาปรากฏอยู่ไม่ (เขาเหล่านั้น) ทั้งหมดทีเดียวได้ตกไปยังอำนาจของพระยามัจจุราช และเมื่อไปอยู่ ก็หาได้นำอะไรจากโลกนี้ไปไม่ ทุกคนจำต้องละโภคสมบัติทั้งหลาย ไปปร-โลกกันอย่างนี้ เว้นจากสุจริตเสียแล้ว ใครๆ ก็ไม่อาจนำอะไรติดตัวไปได้ ไฉนหนอข้าพเจ้าจะพึงบริจาคทรัพย์นี้แล้ว ถือเอาทรัพย์คือสุจริตที่เราจะสามารถนำติดตัวไปได้ เขาเมื่อสละอยู่ซึ่งทรัพย์วันละแสนกหาปณะ ก็ดำริอีกว่า ทรัพย์นี้ก็ยังเพียงพอ ประโยชน์อะไรด้วยการบริจาคอันมีประมาณน้อยอย่างนี้ ไฉนหนอ เราพึงให้มหาทานพราหมณ์นั้นกราบทูลแด่พระราชาว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า ข้าพระองค์มีทรัพย์ในเรือนอยู่จำนวนเท่านี้ ข้าพระองค์ปรารถนาจะให้มหาทานด้วยทรัพย์นั้น ดังข้าพระองค์ขอวโรกาส ข้าแต่มหาราชเจ้า ขอพระองค์จงรับสั่งให้ป่าวประกาศในพระนคร พระราชารับสั่งให้กระทำอย่างนั้นพราหมณ์นั้นได้บรรจุภาชนะทั้งหลายของเหล่าชนผู้มาแล้วและมาแล้วให้เต็ม แล้วได้บริจาคทรัพย์ทั้งสิ้นโดยเวลา ๗ วัน ก็ครั้นบริจาคแล้วจึงดำริว่า การกระทำการบริจาคใหญ่อย่างนี้ แล้วอยู่ครองเรือน ไม่สมควร ไฉนหนอเราพึงบวช ต่อจากนั้นเขาจึงได้บอกเรื่องนี้แก่บริวารชน. บริวารชนเหล่านั้น กล่าวว่า ข้าแต่นาย ท่านอย่าได้คิดว่าทรัพย์หมดสิ้นไปแล้ว พวกข้าพเจ้าจะทำการสั่งสมทรัพย์ ด้วยอุบายต่างๆ โดยใช้เวลาเล็กน้อยเท่านั้น แล้วก็ขอร้องพราหมณ์นั้นโดยประการต่างๆ พราหมณ์นั้นไม่สนใจการขอร้องของพวกบริวารชนเหล่านั้น ได้ออกบวชเป็นดาบส...
....ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลก ทรงแสดงพระธรรมจักรอันประเสริฐแล้ว เสด็จไปยังกรุงสาวัตถีโดยลำดับประทับอยู่ในพระเชตวันอารามของอนาถบิณฑิกะในกรุงสาวัตถี. ก็โดยสมัยนั้นแล บุรุษชาวเมืองสาวัตถีคนหนึ่ง เสาะแสวงหาแก่นจันทน์เป็นต้นอยู่ที่ภูเขา ได้ไปถึงอาศรมของดาบสนั้น ไหว้ดาบสแล้วก็ยืนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง ดาบสนั้นเห็นเขาแล้ว ก็ถามว่าท่านมาจากไหน. เขาตอบว่า ผมมาจากกรุงสาวัตถี ขอรับ. ดาบสถามว่า ในกรุงสาวัตถีนั้นเหตุการณ์เป็นอย่างไร. เขาตอบว่า ท่านขอรับ พวกคนในกรุงสาวัตถีนั้นไม่ประมาท พากันทำบุญทั้งหลายมีการให้ทานเป็นต้น. ดาบสถามว่า พวกเขาได้ฟังโอวาทของใคร. เขาตอบว่าของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า. ดาบสรู้สึกงงงวยด้วยการฟังเสียงว่า พุทธะ จึงถามว่า ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ ท่านพูดว่า พระพุทธเจ้าดังนี้หรือ ดาบสได้ถามถึง๓ ครั้ง โดยนัยที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้วในอามคันธสูตรนั้นแล จึงดีใจว่า แม้เสียงนั้นแลก็หาได้ยาก ดังนี้ เป็นผู้ปรารถนาจะไปยังสำนักของพระผู้พระภาคเจ้า จึงดำริว่า การไปยังสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างเปล่าๆ หาควรไม่ เราจะพึงพาอะไรหนอแลไป ดาบสนั้นจึงดำริอีกว่า ธรรมดาว่าพระพุทธเจ้าทั้งหลายหาทรงหนักในอามิสไม่เอาเถิด เราจะนำธรรมบรรณาการไป ดังนี้แล้วจึงได้แต่งปัญหา ๔ ข้อคือ
๑. มิตรเช่นไรไม่ควรคบ ๒. มิตรเช่นไรควรคบ ๓. ความพยายามเช่นไรควรประกอบ ๔. รสอะไรเลิศกว่ารสทั้งหลาย ดาบสนั้นพาปัญหาเหล่านั้นแล้ว มุ่งหน้าไปยังมัชฌิมประเทศเดินไปถึงเมืองสาวัตถีโดยลำดับแล้ว เข้าไปยังพระเชตวัน แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ประทับนั่งบนอาสนะ เพื่อแสดงพระธรรมเทศนา ในสมัยนั้นอยู่ทีเดียว เขาเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วไม่ยอมไหว้ ได้ยืนอยู่ ณส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคำที่บันเทิงใจ โดยนัยว่า ท่านฤาษี ท่านสบายดีหรือ ดังนี้เป็นต้น แม้ดาบสนั้นก็แสดงความชื่นชมตอบ โดยนัยว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์สบายดี (พอทนได้) ดังนี้แล้วจึงคิดว่า ถ้าหากท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าไซร้ เมื่อเราทูลถามปัญหาด้วยใจ พระองค์ก็จะทรงแก้ด้วยวาจา ดังนี้ แล้วจึงทูลถามปัญหาเหล่านั้นกะพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยใจเท่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าอันพราหมณ์ทูลถามแล้ว เพื่อจะแก้ปัญหาข้อต้นก่อน จึงทรงเริ่มว่า หิรินฺตรนฺตํ เป็นต้น แล้วจึงตรัสอีกสองคาถาครึ่ง. เนื้อความแห่งพระคาถานั้น พึงทราบดังนี้ :-บทว่า หิรินฺตรนฺตํ ก้าวล่วงอยู่ซึ่งความละอาย คือ ไม่มีหิริ ได้แก่ ไม่มียางอาย. บทว่า วิชิคุจฺฉมานํ ได้แก่ เห็นว่าราวกะว่าสิ่งไม่สะอาดคนไม่มีหิริย่อมเกลียดความละอาย ย่อมเห็นราวกะว่าของไม่สะอาดเพราะเหตุนั้นบุคคลจึงไม่คบ คือไม่เข้าไปใกล้ชิด ซึ่งบุคคลผู้ไม่มีหิรินั้น เพราะเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า วิชิคุจฺฉมานํ. บาทคาถาว่า สขาหมสฺมิ อิติ ภาสมานํ ความว่า ผู้กล่าวอยู่โดยนัย มีอาทิอย่างนี้ว่า แน่ะเพื่อน ข้าพเจ้าเป็นสหายของท่านปรารถนาประโยชน์ท่าน แม้ชีวิตของข้าพเจ้า ก็ยอมสละเพื่อท่านได้ดังนี้. บาทคาถาว่า สยฺหานิ กมฺมานิ อนาทิยนฺตํ ความว่า ก็แม้กล่าวอย่างนี้แล้ว ก็ไม่เอื้อเฟื้อ คือ ไม่ตั้งใจเพื่อจะกระทำการงานของมิตรของตนคือกรรมทั้งหลายของมิตรของตน. อีกอย่างหนึ่ง ความว่า ไม่การทำอยู่แม้สักว่าความเอื้อเฟื้อในการงานนั้นด้วยจิต แต่โดยที่แท้แลแสดงอยู่ซึ่งความเสื่อม (ฉิบหาย) ในกิจการทั้งหลายที่เกิดขึ้นเท่านั้น. บาทคาถาว่า เนโส มมนฺติ อิติ นํ วิชฺญฺญา ความว่า บุรุษผู้เป็นบัณฑิตพึงทราบชัดซึ่งบุคคลนั้น คือคนเห็นปานนั้น อย่างนี้ว่าคนเช่นนี้เป็นมิตรเทียม คนเช่นนี้หาใช่มิตรของเราไม่ ดังนี้. บทว่า อนนฺวยํ ความว่า มิตรเทียมนั้น ย่อมพูดว่า เราจักให้จักการทำประโยชน์อันใด ก็มิได้ติดตามประโยชน์อันนั้น (คือไม่ทำตามที่พูด) หลายบทว่า ปิยํ วาจํ โย มิตฺเตสุ ปกุพฺพติ ความว่ามิตรใด ปราศรัยถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้วและยังไม่มาถึง ชื่อว่าสงเคราะห์อยู่ซึ่งสิ่งที่หาประโยชน์มิได้ ชื่อว่าย่อมยังวาจาที่รักให้เป็นไปในมิตรทั้งหลาย ด้วยเหตุสักว่า เงาแห่งตัวอักษรอย่างเดียวเท่านั้น. สองบาทคาถาว่า อกโรนฺตํ ภาสมานํ ปริชานนฺติ ปณฺฑิตาความว่า บัณฑิตทั้งหลายกำหนดรู้บุคคลนั้น คือบุคคลเห็นปานนั้นผู้ไม่การทำตามคำที่ตนพูด พูดอยู่ด้วยวาจาอย่างเดียว อย่างนี้ว่าบุคคลนี้ชื่อว่า มีวาจาเป็นอย่างยิ่ง (ดีแต่ปาก) ไม่ใช่มิตร เป็นมิตรเทียม ดังนี้.
สองบาทคาถาว่า น โส มิตฺโต โย สทา อปฺปมตฺโต เภทาสงฺกี รนฺธเมวานุปสฺสิ ความว่า ผู้ใดหวังแต่ความแตกร้าวเท่านั้นไม่ประมาทอยู่ทุกเมื่อ ด้วยมารยาทที่เรียบร้อย คือด้วยวาจาไพเราะที่ตนทำขึ้น ย่อมแสวงหาซึ่งโทษเท่านั้น อย่างนี้ว่า สิ่งใดก็ตาม ที่บุคคลการทำแล้ว ด้วยไม่มีสติ ด้วยไม่มีมนสิการ หรือว่าไม่ได้กระทำด้วยความไม่รู้ บุคคลนั้นจักติเตียนเราเมื่อใด เมื่อนั้นเราจักโต้ตอบเขาด้วยการกระทำนั้น ดังนี้ มิตรนั้นบุคคลไม่ควรคบ. พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงวิสัชนาปัญหาแรกนี้ว่า "ไม่ควรคบมิตรเช่นไร" ดังนี้อย่างนี้แล้ว เพื่อจะทรงวิสัชนาปัญหาที่สองจึงตรัสกิ่งพระคาถานี้ ว่า ยสฺมึ จ เสติ. เนื้อความแห่งพระคาถานั้นว่า ก็บุตรนอนอยู่บนอกของบิดาไม่รังเกียจสงสัยเหตุทั้งหลายเป็นต้นว่า เมื่อเรานอนอยู่บนอกของบิดานี้ จะพึงมีความทุกข์หรือความไม่สบายใจ จึงหมดความสงสัยนอนอยู่ชื่อฉันใด ด้วยการไว้ใจต่อมิตร มิตรกระทำอยู่ซึ่งความคุ้นเคย (ไว้วางใจ) ในภรรยา ทรัพย์และชีวิตเป็นต้น หมดความสงสัยโดยความเป็นมิตรนั้นอยู่ ฉันนั้นเหมือนกัน ก็มิตรใด ซึ่งผู้อื่นกล่าวเหตุตั้งร้อยอย่างพันอย่างก็ไม่แตกกัน มิตรนั้นแลควรคบ. ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงวิสัชนาแม้ปัญหาที่สองว่า มิตรเช่นไรควรคบ ดังนี้แล้ว เพื่อจะทรงวิสัชนาปัญหาที่ ๓ จึงตรัสพระคาถาว่า ปามุชฺชกรณํ เป็นต้น. เนื้อความแห่งคาถานั้นว่า บุคคลย่อมทำซึ่งความปราโมชด้วยการกระทำฐานะใด เหตุนั้นการการทำฐานะนั้นชื่อว่า ปามุชฺชกรณํเหตุที่กระทำซึ่งความปราโมทย์. บทว่า ฐานํ ได้แก่ เหตุ (ที่กระทำความปราโมทย์) .ถามว่า ก็เหตุนั้นคืออะไร ?ตอบว่า เหตุนั้นคือความเพียร จริงอยู่ ความเพียรท่านเรียกว่าตัวสร้างความปราโมทย์ เพราะยังปิติปราโมทย์และความสุขที่อิงอาศัยธรรมให้เกิดขึ้น เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในธรรมวินัยอันเรากล่าวไว้ดีแล้วนี้ ผู้ใดปรารภความเพียรผู้นั้นย่อมอยู่เป็นสุข บุคคลย่อมนำมาซึ่งความสรรเสริญตัวเหตุใด เหตุนั้น ชื่อว่า ปสํสาวหนํ เหตุนำมาซึ่งความสรรเสริญ. ผลานิสงส์ที่หวังอยู่ย่อมยังผลอันเป็นสุขให้เจริญ คือให้วัฒนาด้วยอุปจารแห่งผล เพราะนำมาซึ่งทิพยสุขและมนุษยสุขตั้งแต่ต้น (และ) นำมาซึ่งนิพพานสุขในที่สุด. บาทพระคาถาว่า วหนฺโต โปริสํ ธุรํ ความว่า ถือเอาซึ่งภาระอันสมควรแก่บุรุษอยู่ ชื่อว่าทำฐานะ กล่าวคือความเพียรอันเป็นสัมมัปปธานให้เจริญ. พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงวิสัชนาปัญหาที่ ๓ อย่างนี้ว่า"ควรเสพความพยายามเช่นไร" ดังนี้แล้ว เพื่อทรงวิสัชนาปัญหาที่๔ จึงตรัสคาถาว่า ปวิเวกรสํ เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปวิเวโก ความว่า ผลอันเลิศท่านเรียกว่ารสแห่งวิเวกนั้น เพราะเกิดแต่ความสงัดจากกิเลส ผลอันเลิศซึ่งสัมปยุตด้วยวิเวกนั้น ชื่อว่า สุข เพราะอรรถว่า ชื่นใจ. บทว่า อุปสมสฺส เป็นต้น ความว่า ผลอันเลิศนั้นนั่นเองชื่อว่ารสแห่งธรรมปีติ เพราะเกิดขึ้นแล้วในที่สุดแห่งความสงบกิเลสหรือเพราะเป็นอารมณ์แห่งความสงบ กล่าวคือพระนิพพาน เพราะเหตุนั้นบุคคลดื่มแล้วซึ่งผลอันเลิศนั้นนั่นเอง คือ ซึ่งรสแห่งวิเวกนั้นและซึ่งรสแห่งความสงบนั้น เพราะเป็นรสแห่งปีติที่เกิดขึ้นแล้วแต่อริย-ธรรม หรือเกิดขึ้นแล้วในธรรมกล่าวคือพระนิพพาน ชื่อว่าดื่มอยู่ซึ่งรสแห่งธรรมปีติ เป็นผู้ไม่มีความกระวนกระวาย ไม่มีบาป แม้ดื่มแล้วก็หมดความกระวนกระวาย เพราะไม่มีความกระวนกระวายแห่งกิเลสแม้ดื่มอยู่ก็ชื่อว่าไม่มีบาป เพราะคนละบาปได้แล้ว เพราะฉะนั้น ผลอันเลิศคือรสแห่งวิเวกนี้ จึงเลิศกว่ารสทั้งหลาย. แต่อาจารย์บางพวกประกอบว่า ธรรมเหล่านี้คือธรรม ๓อย่าง มีรสแห่งวิเวกเป็นต้นนั้นเอง ด้วยสามารถแห่งฌาน นิพพานและปัจจเวกขณะ และด้วยสามารถแห่งกายวิเวก จิตตวิเวก และอุปธิวิเวก. บทก่อนนั้นแลดี. ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงวิสัชนาปัญหาที่ ๔ อย่างนี้ชื่อว่ายังเทศนาให้จบลงด้วยยอดคือพระอรหัต. ในที่สุดแห่งเทศนา พราหมณ์ได้บรรพชาในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า โดยวันเล็กน้อยเท่านั้น ก็ได้เป็นพระอรหันต์ผู้บรรลุปฏิสัมภิทา ดังนี้แล.
จบการพรรณนาหิริสูตร ในอรรถกถาขุททกนิกาย
ชื่อปรมัตถโชติกา