ในความเป็นจริงเราอยู่คนเดียว
แท้ที่จริง "เรา" อยู่ที่ไหน า" ก็คือ สภาพธรรมซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัยและดับไป แต่ด้วยความไม่รู้ในความเกิดขึ้น ในความดับไป จึงเป็น เรา ทุกชาติ ตลอดชาตินี้ด้วย จนกว่าเราจะค่อยๆ ฟังพระธรรมให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น แล้วสติค่อยๆ เกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมจนกว่าจะหมดความเป็นเรา ถ้าทุกคนจะเข้าใจให้ถูกต้อง ทุกคนอยู่คนเดียว และอยู่กับความคิดมากมายสืบต่อไม่มีวันหยุด ทางตาปรากฎนิดเดียว แต่คิดยาว ทางหูก็ปรากฎนิดเดียว ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ปรากฎแล้วก็ดับ แต่ความคิดจำไว้ แล้วก็ไม่ลืม แล้วก็ปรุงแต่งให้เป็นเรื่องเป็นราว นี่เป็นสิ่งที่ปิดบังไม่ให้เห็นสภาพธรรม ตามความเป็นจริงว่า ที่จริงแล้วสภาพธรรมที่มีจริงๆ ไม่ใช่เรื่องราว เป็นสิ่งที่มีจริง ปรากฎสั้นมากแล้วก็ดับไป สหายธรรมทุกท่าน ท่านมีความคิดเห็นอย่างไรบ้างค่ะ ท่านเป็นผู้อยู่คนเดียวหรือเปล่าคะ
อยู่คนเดียวและอยู่กับความคิดจริงๆ
สี เสียง กลิ่น รส สัมผัส เกิดขึ้นปรากฎ ตามความเป็นจริงสั้นนิดเดียว แต่กลับคงอยู่ยาวนานเพราะการคิดนึก เกิดมีทันทีเมื่อคิด เมื่อไม่คิดก็ไม่มีความคิดเกิดอยู่เกือบตลอด และความคิด ส่วนใหญ่มักเป็นไปกับอกุศล กุศลเกิดน้อย เพราะอวิชชา เพราะอาสวะกิเลสที่สะสมหมักหมมมายาวนานในสังสารวัฏฏ์ แม้ว่าความจริง เรา ไม่มี สัตว์ ตัวตน บุคคล ไม่มี แต่ความเป็นจริงเช่นนี้ ยากแสนยากเหลือเกินที่จะรู้และเข้าใจ จึงขาดการฟังพระธรรมไม่ได้
กราบขอบพระคุณในความเมตตาของท่านอาจารย์เป็นอย่างสูงค่ะ
ขออนุโมทนาพี่เมตตา
ขออนุโมทนาในกุศลจิตและกุศลวิริยะของทุกท่านค่ะ
ไม่ได้อยู่คนเดียว เมื่อไหร่เมื่อคิด คิดด้วยตัณหา
จากพระสุตตันตปิฏก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ หน้าที่ ๖๗
อนุโมทนาคะ
เกิดคนเดียวอยู่คนเดียว แก่คนเดียว เจ็บคนเดียว ตายคนเดียวในโลกที่ปรากฏทั้ง ๖ ทวารแม้ที่สิ่งที่ยึดมั่นว่าเป็นของเราในโลกนี้ ก็เป็นของชั่วคราวร่างกาย บุคคลอันเป็นที่รัก ที่อยู่อาศัยแล้วก็จะจากไปคนเดียว.
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
คำบรรยายจากท่านอ.สุจินต์ วันอาทิตย์ที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๐
เราอยู่ในโลกคนเดียว !
จริงๆ เราเกิดมาในโลกคนเดียวหรือเปล่า เวลาเราเห็น เราเห็นคนเดียวหรือเปล่า จิตหนึ่งขณะค่ะ ไม่เป็นของใครเลย แต่หลังจากเกิดแล้วมีเห็นจำ จำได้ว่าเป็นคน เป็นหลายๆ อย่าง เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้วอยู่คนเดียวในโลกกับความคิดของตัวเอง หลังเห็นแล้วแต่ว่าเราจะคิดอะไรใช่ไหมคะ จะคิดถึงเพื่อนจะคิดถึงญาติจะคิดถึงอะไรก็แล้วแต่ แสดงว่าขณะที่คิดเนี่ยค่ะ เหมือนมีหลายคน ทั้งโลก ทั้งประเทศ แต่ความจริงหนึ่งขณะจิตที่คิด เพราะฉะนั้นจริงๆ ถ้าเข้าใจธรรม จะเข้าใจความหมายที่ว่าอยู่คนเดียวในโลก ในโลกมืดหรือโลกสว่าง มาอีกแล้ว ที่อยู่คนเดียวเนี่ยค่ะ อยู่ในโลกที่มืดหรือในโลกที่สว่าง สหายธรรมทุกท่านลองคิดพิจารณาดูครับ
เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่ครับ ....
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ฃได้ฟังแล้วใจหาย อยากจะเถียงว่าไม่จริง เพราะไม่อยากให้เป็นจริงเลย แต่ว่าเถียงไม่ได้ จะโต้แย้งอย่างไรสภาพธรรมก็ไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อได้รับรู้ว่า หากไม่ยอมปล่อยวางความยึดถือในตนและโลกเช่นนั้น ทุกข์โทมนัสจะติดตามมา จึงจำยอมออกปากรับความจริง ทั้งที่ในใจหวั่นไหวเหมือนคนป่วย จำยอมกินยาขม ไม่อยากทำ แต่มันจำเป็น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้าที่ ๖๓๒
มหาสุตโสมชาดก
โย เว ปิยํ เมติ ปิยานุรกฺขี อตฺตํ นิรงฺกจฺจ ปิยานิ เสวติ โสณฺ โฑว ปิตวา วิสมิสฺสปานํ เตเนว โส โหติ ทุกขี ปรตฺถ โย จีธ สงฺขาย ปิยานิ หิตฺวา กิจเฉนปิ เสวติ อริยธมฺเม ทุกฺขิโตว ปิตฺวาน ยโถสธานิ เตเนว โส โหติ สุขี ปรตฺถ
ผู้ใดแล มัวรักษาของรักว่า นี่เป็นของรักของเรา ทำตนให้เหินห่างจากความดี เสพของรักทั้งหลายอยู่ เหมือนนักเลงสุราดื่มสุราเจือยาพิษฉะนั้น ผู้นั้นย่อมได้รับทุกข์ในโลกหน้า เพราะกรรมอันลามกนั้น ส่วนผู้ใดในโลกนี้ พิจารณาแล้วละของรักได้ เสพอริยธรรมทั้งหลายแม้ด้วยความยาก เหมือนคนเป็นไข้ดื่มยาฉะนั้น ผู้นั้นย่อมได้รับความสุขในโลกหน้าเพราะกัลยาณกรรมนั้น.
สาธุ
แค่ออกปากยอมรับยังยาก หนทางจึงยังอีกยาวไกล จิรกาลภาวนา
จริงๆ แล้วเราอยู่คนเดียวในโลกนี้กับความคิดเรื่องราวต่างๆ มากมาย ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน และ ขออนุโมทนาคุณ paderm เป็นอย่างมาก ที่นำขยายเพิ่มเติม "เราอยู่คนเดียวในโลก" คลิกอ่านแล้วมีความเข้าใจมากขึ้น และยังมีรูปภาพประกอบให้เห็นชัดเจนมากขึ้นค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ความจริง อยู่คนเดียวก็ยังดูนานไป ในความเป็นจริงอยู่เพียงขณะจิตเดียวเท่านั้นเอง แต่เพราะยังไม่ประจักษ์การเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็วของสภาพธรรม จึงทำให้ยังหลงอุ่นใจว่ายังมีเรา เพราะสภาพธรรมใหม่ก็ยังเกิดต่ออีกๆ ไม่ขาดสายต่อจากสภาพธรรมเก่าที่ดับไป จึงยึดสิ่งที่ดับไปและเกิดใหม่หลอมรวมกันว่าเป็นเรา ทั้งๆ ที่ก็ไม่ใช่เราหมดแล้วก็หมดแล้ว ที่มีอยู่ก็เพียงปรากฏสั้นๆ แล้วดับอีก เราอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ แต่ก็ยังยึดไว้อยู่ ไม่ปล่อย จนกว่าโลกจะปรากฏทางเดียวไม่ปะปนกับทางอื่นๆ เลย เมื่อสติปัฏฐานเกิด ขณะนั้น "ไม่มีเรา" ครับ
ขออนุโมทนาครับ
ไม่ว่าจะเป็นคิด กุศล หรือ อกุศล ก็เป็นเรา จนกว่าจะเข้าใจจริงๆ ว่า ไม่ใช่เรา
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ
แม้แต่ "เรา" ก็ไม่มี แล้ว "คนอื่นๆ " จะมีได้อย่างไร แม้แต่สิ่งที่เป็น "ของเรา" ก็ไม่มี แล้ว "สิ่งอื่นๆ " จะมีได้อย่างไร ในความเป็นจริงมีเพียง "สภาพธรรม" ที่เกิดขึ้นทำกิจแล้วดับไปเท่านั้น
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ
ตั้งแต่ศึกษาธรรม ก็ไม่อยากให้จิตเดินทางไปโน่นมานี่ หาคนโน้นที่คนนี้ที แต่ ห้ามไว้ไม่ได้ และเขาก็ไม่เคยขออนุญาตเลย เอาแต่ใจตัวเองมาก เลยตามไปแอบดูว่า เขาไปทำอะไรที่ไหน แต่ก็ตามไม่เคยทัน งกๆ เงิ่นๆ พอเห็นแว๊บๆ คิดว่า ฮั่นแน่อยู่นี่เอง ก็ อ้าว ไปไหนแล้ว ไม่เคยจับได้ไล่ทันเลย ขนาดพยายามซ่อนเครื่องติดตามตัว ยังสลัดทิ้งไม่เหลือ เชื่อแน่ว่าอยู่คนเดียว แต่ชอบหนีเที่ยวไม่ค่อยกลับบ้าน สักวันเถิดนะ ฮึ่ม
สักวันเถิดนะ ฮึ่ม เจ้าโทสะจริงๆ เชื่อแน่ว่าอยู่คนเดียว มาก็มาคนเดีย ไปก็ไปคนเดียว ทำให้คิดว่าแล้วเกิดมาเป็นชีวิตทำไม เพื่ออะไร ชีวิตเป็นของน้อย ช่วงลัดนิ้วมือเดียว ในความเป็นจริงเป็นแค่สภาพธรรมเกิดดับหลายแสนขณะ แล้วก็อยู่กับการคิดนึก ทำให้มีวันๆ ล่วงไปๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วก็เห็นคนเกิด แล้วก็เห็นนคนแก่ คือนั่งฟังธรรมก็ดมยาดมไปขบเคี้ยวแก้ง่วงไป แล้วก็เห็นคนเจ็บ เป็นโรคลมบ้าง โรคร้ายแรงบ้างแล้วก็เห็นสหายธรรมจากไป ทีละคนบ้าง สองคนบ้าง ทีนี้จะออกจากสถานการณ์นี้ก็แสนยาก เพราะปัญญาเป็นพืชที่โตช้า สติปัฏฐานไม่เกิด จำต้องมีชีวิตอยู่กับความคิด แล้วเกิดมาทำไม เพื่ออะไรตั้งแต่ตอนเริ่มต้น หรือเกิดมาเพื่อให้มีโน่น มีนี่ มีกำแพงเมืองจีน มีปิรามิดๆ ลๆ ให้มันยุ่งๆ ดี ขอโทษครับ อุธัจจะ กำลังเป็นอารมณ์ ครับ