เลิกหวังที่จะบรรลุโดยเร็ว
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ข้อความบางตอนจาก แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ ๗๐๑ บรรยายโดย ท่าน อ. สุจินต์ บริหารวนเขตต์
การที่สติในชีวิตประจำวันเกิดบ้าง
เริ่มเข้าใจลักษณะของสติพร้อมกับเมื่อสติเกิดก็ศึกษาเพื่อที่จะให้เป็นความรู้ในลักษณะของนามธรรม ว่า เป็นนามธรรมที่เป็นรูปธรรม ว่า เป็นรูปธรรมให้เป็นความรู้จริงๆ ขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ก็คงจะต้องนานแสนนาน
เพราะฉะนั้น ก็ขอให้ เลิกหวังที่จะบรรลุคุณธรรมโดยเร็วแต่ว่า ให้เกิดความเข้าใจถูกว่าจะต้องรู้ลักษณะของสภาพธรรมซึ่งไม่เคยรู้หรือยังไม่ประจักษ์แจ้งในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ไม่ใช่ธรรมอื่น
ถ้าขณะนี้ยังไม่รู้ ก็ระลึก แล้วศึกษาเสียแล้วความรู้ก็จะค่อยๆ เพิ่มขึ้น จนกว่าจะเป็นแสนกัปป์ หรือว่า พร้อมด้วยเหตุ ที่จะให้รู้แจ้งอริยสัจธรรมเมื่อไร ก็จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมเมื่อนั้น
เมื่อบุคคลได้เห็นรูปแล้ว มัวใส่ใจถึงอารมณ์อันเป็นที่รัก สติก็หลงลืม ผู้ใดมีจิตกำหนัดยินดีเสวยรูปารมณ์รูปารมณ์ก็ครอบงำผู้นั้น อาสวะทั้งหลายย่อมเจริญแก่ผู้นั้น ผู้เข้าถึงซึ่งมูลแห่งภพ
๘. อภัยเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระอภัยเถระ
[เล่มที่ 50] ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๑ - หน้าที่ ๔๕๕[เล่มที่ 50]
[เล่มที่ 50] ขออุทิศส่วนกุศลแด่สรรพสัตว์
เลิกหวังที่จะบรรลุคุณธรรมโดยเร็ว เพราะเมื่อได้ฟังพระธรรมแล้วจึงได้รู้ว่ากว่าที่จะ พร้อมด้วยเหตุ ยังต้องอีกแสนกัปป์หรืออาจมากกว่านั้นมาก เหตุสำคัญที่อย่างไรก็ต้องนาน คือ ทุกครั้งที่ได้ สี เสียง กลิ่น รส สัมผัส ที่พอใจ ความยินดีและติดข้องก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ยึดไว้แน่นด้วยความเป็นเรา การสะสมเหตุใหม่และการขัดเกลา จึงต้องนาน เป็นจิรกาลภาวนา
ขออนุโมทนาคุณสารธรรม
ขออนุโมทนาในกุศลจิตและกุศลวิริยะของทุกท่านค่ะ
การบรรลุ คือผล มิใช่ด้วยความหวังเพราะ ผล ของความหวัง ในที่สุดแล้ว คือ ความผิดหวังกุศล ไม่สามารถเจริญได้ ด้วย อกุศล ฉันใดความหวังจึงไม่ใช่หนทาง ในการเดินทางไกล ที่จะออกจากสังสารวัฏฏ์แม้แต่ การเจริญปัญญา และบารมีทั้ง ๑๐ ก็เพื่อละ ไม่ใช่เพราะหวังสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
เมื่อมีโอกาสได้ฟังพระธรรมแล้วทราบว่า "ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน" อย่างไรในการฟังพระธรรมแต่ละครั้ง ไม่มีสักครั้งที่จะได้ยินว่า ให้หวัง มีแต่ฟัง เพื่อเข้าใจ ด้วยความเห็นถูก เพื่อเพิ่มความเข้าใจ ยิ่งขึ้นๆ ซึ่งเราอาจจะได้ฟังมาอย่างนี้ หลายภพหลายชาติแล้วเมื่อ อกุศลยังมีกำลัง มากกว่ากุศล ตามธรรมดาของปุถุชนจึงขาดการฟังไม่ได้เลยเพราะนี่คือสิ่งเดียวที่เป็นที่พึ่ง เกิดมาคนเดียว และจะต้องตายไปคนเดียว แล้วจะพึ่งสิ่งใดได้ ถ้าไม่ใช่พระธรรม
ขออนุโมทนา
ดีที่สุดคือไม่หวัง ตั้งใจศึกษาธรรมะเพื่อละ เพื่อรู้ความจริงในขณะนี้ ค่ะ
เมื่อบุคคลได้เห็นรูปแล้วมัวใส่ใจถึงอารมณ์อันเป็นที่รัก สติก็หลงลืม ผู้ใดมีจิตกำหนัดยินดีเสวยรูปารมณ์รูปารมณ์ก็ครอบงำผู้นั้น อาสวะทั้งหลายย่อมเจริญแก่ผู้นั้น ผู้เข้าถึงซึ่งมูลแห่งภพ
ทันทีที่เห็นดอกไม้ ก็หลงลืมสติ หลงเพลิดเพลินไปในอารมณ์ที่น่าใคร่ อกุศลจิตเกิดทันที กว่าจะฟังพระธรรมให้เข้าใจว่าอารมณ์ที่น่าใคร่ น่าปราถนานั้นเป็นเพียง รูปารมณ์ ซึ่งหมายถึง สิ่งที่ปรากฎทางตาเท่านั้น ก็ยังยากแสนยากที่จะเข้าใจ เลิกหวังที่จะบรรลุโดยเร็ว แต่อดทนที่จะฟังพระธรรม เข้าใจพระธรรม และอบรมเจริญปัญญาจะต้องค่อยๆ อบรมจนกว่าจะมีกำลังที่จะระลึกรู้ ลักษณะสภาพธรรมที่กำลังปรากฎ ซึ่งต้องใช้เวลายาวนานมาก อดทนที่จะจับด้ามมีดหรือเปล่า ค่อยๆ อบรมเจริญปัญญา จนกว่าสติปัฎฐานเกิดระลึกรู้ลักษณะสภาพธรรม เมื่อนั้น ด้ามมีดย่อมค่อยๆ สึก จิรกาลภาวนา ค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
"การที่สติในชีวิตประจำวันเกิดบ้าง ก็ศึกษาเพื่อที่จะให้เป็นความรู้ในลักษณะของนามธรรม ว่า เป็นนามธรรมที่เป็นรูปธรรม ว่า เป็นรูปธรรม ให้เป็นความรู้จริงๆ ขึ้นทีละเล็กทีละน้อย" เพียงเท่านี้จริงๆ จึงจะเกิดประโยชน์สูงสุด
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ
แม่ไก่หมั่นกกไข่ ไม่ต้องหวัง ย่อมได้ลูกไก่แน่นอน แม่ไก่ไม่กกไข่ ได้แต่หวังว่าจะได้ลูกไก่ ย่อมไม่มีวันได้ลูกไก่ ฉันใด บุคคลไม่อบรมเจิญปัญญา ได้แต่หวังให้ปัญญาเกิด ย่อมเป็นไปไม่ไดั แต่บุคคลอบรมเจริญปัญญาแม้ไม่หวังให้ปัญญาเกิดย่อมสะสมปัญญาทีละเล็กทีละน้อย
ขออนุโมทนาค่ะ