ปฏาจาราภิกษุณี

 
พุทธรักษา
วันที่  31 ต.ค. 2551
หมายเลข  10265
อ่าน  4,718

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ข้อคิดจากชีวิตของ "ปฏาจาราภิกษุณี"

ครั้งหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งแสดงธรรมอยู่ท่ามกลางบริษัท ๔ ในพระเชตวันมหาวิหาร ได้ทอดพระเนตรเห็นนางผู้บำเพ็ญบารมีมาแสนกัลป์ ผู้พร้อมมูลด้วยอภินิหารเดินมาอยู่.

สดับมาว่า "นางปฏาจารา" นั้นในกาลแห่งพระพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ นางได้เห็นพระเถรีผู้ทรงพระวินัยรูปหนึ่ง อันพระปทุมุตตระพุทธเจ้าทรงตั้งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ นางจึงทำคุณความดีแล้วตั้งความปรารถนาว่า "แม้หม่อมฉันพึงได้ตำแหน่งเลิศกว่าพระเถรีผู้ทรงพระวินัยทั้งหลายในสำนักของพระพุทธเจ้า เช่นด้วยพระองค์"

พระปทุมุตตระพุทธเจ้าทรงเล็งอนาคตังสญาณไป ก็ทรงทราบว่าความปรารถนาของนางจะสำเร็จ จึงทรงพยากรณ์ว่า "ในอนาคตกาล หญิงผู้นี้จักเป็นเป็นผู้เลิศกว่าพระเถรีผู้ทรงวินัยทั้งหลาย โดยนาม "ปฏาจารา" ในศาสนาของพระโคดมพุทธเจ้า."

พระพุทธเจ้าของเราในบัดนี้ทรงเห็นนางผู้มีความปรารถนาที่ตั้งไว้แล้วอย่างนั้น กำลังเดินมาแต่ไกล จึงทรงดำริว่า "เว้นเราเสีย ผู้อื่นชื่อว่าสามารถจะเป็นที่พึ่งของหญิงผู้นี้ได้ ไม่มี" จึงทรงอนุเคราะห์นางโดยประการต่างๆ ที่จะนำนางมาสู่วิหาร.

ในเวลาที่นางเดินมาใกล้พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า "จงกลับได้สติเถิด น้องหญิง." นางกลับได้สติด้วยอานุภาพของพระผู้มีพระภาคในขณะนั้นนั่นเอง. แล้วทูลว่า "ขอพระองค์ทรงเป็นที่พึ่งแก่หม่อมฉันเถิด พระเจ้าข้า, เพราะว่าเหยี่ยวเฉี่ยวบุตรคนหนึ่งของหม่อมฉันไป, ส่วนอีกคนหนึ่งถูกน้ำพัดพาไป, สามีก็ตายในทางเปลี่ยว, มารดาบิดาและพี่ชายถูกเรือนทับ เขาเผาบนเชิงตะกอนอันเดียวกัน."

พระศาสดาสดับคำของนางแล้ว จึงตรัสว่า

"อย่าคิดเลย ปฏาจารา, เธอมาสู่สำนักของผู้สามารถที่จะเป็นที่พึ่งพำนักอาศัยของเธอได้แล้ว เหมือนอย่างว่า บัดนี้ บุตรของเธอคนหนึ่งถูกเหยี่ยวเฉี่ยวไป, คนหนึ่งถูกน้ำพัดไป, สามีตายแล้วในทางเปลี่ยว มารดาบิดาและพี่ชายถูกเรือนทับฉันใด น้ำตาที่ไหลออกของเธอผู้ร้องไห้อยู่ในสงสารนี้ ในเวลาที่ปิยชนมีบุตรเป็นต้นตาย ยังมากกว่าน้ำแห่งมหาสมุทรทั้ง ๔ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน"

ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถาความว่า

"น้ำในมหาสมุทรทั้ง ๔ มีประมาณน้อย, น้ำตาของสัตว์ผู้ถูกทุกข์ครอบงำแล้ว เศร้าโศก มีมิใช่น้อย มากกว่าน้ำในมหาสมุทรนั้น; เพราะเหตุใดเล่า เธอจึงประมาทอยู่"

เมื่อพระศาสดาตรัสเรื่องที่เกี่ยวกับสงสาร ที่ไม่มีเบื้องต้นและที่สุด ความโศกในสรีระของนางได้ถึงความเบาบางแล้ว


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
ปริศนา
วันที่ 1 พ.ย. 2551

ลำดับนั้น พระศาสดาทรงทราบว่านางมีความโศกเบาบางลงแล้ว จึงทรงเตือนต่อไปอีกว่า "ปฏาจารา ขึ้นชื่อว่าปิยชนมีบุตรเป็นต้น ไม่อาจเพื่อเป็นที่ต้านทาน เป็นที่พึ่ง หรือเป็นที่ป้องกันของผู้ไปสู่ปรโลกได้, เพราะฉะนั้น บุตรเป็นต้นเหล่านั้นถึงมีอยู่ ก็ชื่อว่าย่อมไม่มีทีเดียว ส่วนบัณฑิตชำระศีลแล้ว ควรชำระทางที่ยังสัตว์ให้ถึงพระนิพพานของตนเท่านั้น"

เมื่อจะทรงแสดงธรรม ได้ตรัสคาถาเหล่านี้ว่า

"บุตรทั้งหลาย ไม่มีเพื่อความต้านทาน, บิดาก็ไม่มี ถึงพวกพ้องก็ไม่มี, เมื่อบุคคลถูกความตายครอบงำแล้ว ความต้านทานในญาติทั้งหลาย ย่อมไม่มี; บัณฑิตทราบถึงอำนาจแห่งประโยชน์นั้นแล้ว พึงสำรวมในตน พึงชำระทางไปนิพพานโดยเร็วทีเดียว."

ในกาลจบเทศนา นางปฏาจาราเผากิเลสมีประมาณเท่าฝุ่นในแผ่นดินใหญ่ ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล

ชนแม้เหล่าอื่นเป็นอันมากก็บรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผล เป็นต้น ดังนี้แล.

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ปริศนา
วันที่ 1 พ.ย. 2551

ฝ่ายนางปฏาจาราเมื่อได้เป็นพระโสดาบันบุคคลแล้ว จึงทูลขอบรรพชากับพระศาสดา. พระศาสดาทรงส่งนางไปยังสำนักของพวกภิกษุณีให้บรรพชา.

นางได้อุปสมบทแล้วปรากฏชื่อว่า "ปฏาจารา" เพราะนางกลับความประพฤติได้.

วันหนึ่ง นางกำลังเอาหม้อตักน้ำล้างเท้า เทน้ำลง น้ำนั้นไหลไปหน่อยหนึ่งแล้วก็ขาด. ครั้งที่ ๒ น้ำที่นางเทลง ได้ไหลไปไกลกว่านั้น. ครั้งที่ ๓ น้ำที่นางเทลง ได้ไหลไปไกล แม้กว่านั้น ด้วยประการฉะนี้.

นางถือเอาน้ำนั้นนั่นแลเป็นอารมณ์ กำหนดวัยทั้ง ๓ แล้ว คิดว่า

"สัตว์เหล่านี้ ตายเสียในปฐมวัยก็มี เหมือนน้ำที่เราเทลงครั้งแรก,

ตายเสียในมัชฌิมวัยก็มี เหมือนน้ำที่เราเทลงครั้งที่ ๒ ไหลไปไกลกว่านั้น,

ตายเสียในปัจฉิมวัยก็มี เหมือนน้ำที่เราเทลงครั้งที่ ๓ ไหลไปไกลแม้กว่านั้น."

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ปริศนา
วันที่ 1 พ.ย. 2551

พระศาสดาประทับอยู่ในพระคันธกุฎี ทรงแผ่พระรัศมีไปเป็นดังว่าประทับยืนตรัสอยู่เฉพาะหน้าของนางปฏาจารา แล้วทรงตรัสว่า "ปฏาจารา ข้อนั้นเป็นอย่างนั้น ด้วยว่าความเป็นอยู่วันเดียวก็ดี ขณะเดียวก็ดี ของผู้เห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปแห่งปัญจขันธ์เหล่านั้น ประเสริฐกว่าความเป็นอยู่ตั้ง ๑๐๐ ปี ของผู้ไม่เห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปแห่งปัญจขันธ์"

ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงทรงตรัสพระคาถานี้ว่า :-

"ก็ผู้ใด ไม่เห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมอยู่ ถึงแม้เป็นอยู่ตั้ง ๑๐๐ ปี, ความเป็นอยู่วันเดียว ของผู้เห็นความเกิดและความเสื่อม พึงประเสริฐกว่าความเป็นอยู่ของผู้นั้น."

ครั้นจบพระธรรมเทศนานี้ นางปฏาจาราบรรลุพระอรหัตตผลพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย ดังนี้.

จากหนังสือ "ธรรมานุภาพ" เรียบเรียงโดย มูลนิธิอภิธรรมมหาธาตุวิทยาลัย ๑ มกราคม ๒๕๒๗

ขออนุโมทนา

ขออุทิศกุศลแด่ คุณพ่อ คุณแม่และสรรพสัตว์


"อาศัยเรา ผู้เป็นกัลยาณมิตร เหล่าสัตว์

ผู้มีชาติ เป็นธรรมดาก็พ้นจากชาติ

ผู้มีชรา เป็นธรรมดาก็พ้นจากชรา

ผู้มีมรณะ เป็นธรรมดาก็พ้นจากมรณะ

ผู้มีโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส เป็นธรรมดา

ก็พ้นจากโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาส"

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
paderm
วันที่ 1 พ.ย. 2551

"ปฏาจารา ขึ้นชื่อว่าปิยชนมีบุตรเป็นต้น ไม่อาจเพื่อเป็นที่ต้านทาน เป็นที่พึ่งหรือเป็นที่ป้องกัน ของผู้ไปสู่ปรโลกได้ เพราะฉะนั้น บุตรเป็นต้นเหล่านั้น ถึงมีอยู่ก็ชื่อว่าย่อมไม่มีทีเดียว ส่วนบัณฑิตชำระศีลแล้ว ควรชำระทางที่ยังสัตว์ให้ถึงพระนิพพานของตน เท่านั้น"

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
suwit02
วันที่ 2 พ.ย. 2551

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ajarnkruo
วันที่ 2 พ.ย. 2551

โลภะเป็นเหตุแห่งทุกข์ เป็นสมุทัยอริยสัจจ์ผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ย่อมมีเหตุให้ประสบกับทุกข์เพราะโลภะได้อยู่เพราะโลภะจะนำมาซึ่งการเกิดในสังสารวัฏฏ์อีกยาวนานผู้ที่ยังต้องเกิด ... ก็ย่อมจะต้องประสพกับทุกข์มิใช่น้อยมีการพลัดพราก สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก เป็นต้น ผู้ที่สั่งสมปัญญามามาก เมื่อได้ฟังพระธรรมอีกครั้ง ย่อมได้สติโดยเร็วเข้าใจธรรมโดยเร็ว ประจักษ์แจ้งธรรมโดยเร็วถึงความดับแห่งกิเลสโดยเร็วตามเหตุตามปัจจัย

... ขออนุโมทนาครับ ...

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
sirikorn
วันที่ 2 พ.ย. 2551

ธรรมช่วยให้มนุษย์ได้พ้นจากทุกข์ ทำให้เป็นผู้อยู่เหนือทุกข์

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
เมตตา
วันที่ 3 พ.ย. 2551

"ก็ผู้ใด ไม่เห็นความเกิดขึ้น และความเสื่อมอยู่ถึงแม้เป็นอยู่ตั้ง ๑๐๐ ปีความเป็นอยู่วันเดียวของผู้เห็นความเกิด และความเสื่อมพึงประเสริฐกว่าความเป็นอยู่ ของผู้นั้น"

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
aiatien
วันที่ 3 พ.ย. 2551
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
pornpaon
วันที่ 4 พ.ย. 2551

ขออนุโมทนาค่ะ . . .

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
Komsan
วันที่ 12 มี.ค. 2552
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
hadezz
วันที่ 19 มี.ค. 2552

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
pamali
วันที่ 4 ก.ค. 2553

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
เข้าใจ
วันที่ 8 เม.ย. 2556

ขอกราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
papon
วันที่ 21 ก.ย. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
chatchai.k
วันที่ 19 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ