อยู่ใกล้พระรัตนตรัยหรือเปล่า

 
สารธรรม
วันที่  13 พ.ย. 2551
หมายเลข  10370
อ่าน  1,522

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

ข้อความบางตอนจาก แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ ๑๐๓๖
บรรยายโดย ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

อยู่ใกล้พระรัตนตรัยหรือเปล่า

ขณะนี้ท่านผู้ฟังอยู่ใกล้พระรัตนตรัยหรือเปล่าคะ ท่านผู้ฟังผู้เป็นพุทธศาสนิกชน ขณะนี้กำลังอยู่ใกล้พระรัตนตรัยหรือเปล่า ธรรมนี้มีเรื่องที่จะคิดได้หลายๆ อย่าง แม้แต่ในขณะที่กำลังฟังธรรม อาจจะคิดถึงเรื่องอื่นๆ ประกอบก็ได้ เช่นในขณะนี้ อยู่ใกล้ หรือ ไม่ใกล้

ท่านผู้ฟังเห็นพระพุทธรูป อยู่ใกล้พระรัตนตรัยหรือยัง หรือว่า อยู่ใกล้เพราะมีพระพุทธรูปอยู่ใกล้ๆ แต่ถ้ามีพระพุทธรูปอยู่ใกล้ เพื่อจะเตือนว่า อยู่ไม่ไกลพระรัตนตรัย แต่ไม่ได้มีโอกาสฟังพระธรรม จะชื่อว่า อยู่ใกล้ไหม มีตั้งไว้เตือนอยู่ให้เห็น แต่ไม่ได้ฟังพระธรรมเลยย่อมไม่ชื่อว่า อยู่ใกล้ เพราะพระพุทธรูปเป็นเพียงแต่รูป

ในขณะที่กำลังฟังนี้ ถ้าจะย้อนระลึกถึงในสมัยอดีตที่พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีพระผู้มีพระภาคตรัสข้อความนี้กับพระภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อ ๒๕๐๐ กว่าปี แต่ว่าแม้ในยุคนี้สมัยนี้ มีพระพุทธรูปซึ่งอยู่ไม่ไกล แต่จะไม่มีประโยชน์เลย ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง

เพราะฉะนั้น การที่อยู่ใกล้นี้ คือ การที่ไม่ลืม และระลึกถึงพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง แล้วก็พิจารณาจนกระทั่งเกิดความเข้าใจที่ถูกต้องยิ่งขึ้น จนกระทั่งพระสังฆรัตนะอยู่ที่ไหน

นี่ก็เป็นสิ่งที่ควรจะต้องคิด พระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์ สติเกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏขณะไหน จะเป็นสังฆรัตนะในขณะนั้นได้ไหม

เพราะฉะนั้น สังฆรัตนะ ไม่จำเป็นต้องระลึกถึงบุคคลอื่นซึ่งอยู่ไกล แต่ว่าขณะใดก็ตามที่สติเกิดระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ นั่นเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้บุคคลทั้งหลายเป็นสังฆรัตนะ

ในครั้งนั้น ท่านพระวักกลิซึ่งกำลังอาพาธหนักอยู่ได้ขอให้ภิกษุผู้อุปัฏฐากทั้งหลายของท่านไปเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับเพื่อกราบทูลขอให้พระองค์ทรงประทานพระวโรกาสอาศัยความอนุเคราะห์เสด็จไปหาท่านพระวักกลิถึงที่อยู่เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จไปถึงพระองค์ตรัสถามท่านพระวักกลิถึงอาการของโรคก็ทรงทราบว่าท่านพระวักกลิทนไม่ไหวไม่สามารจะยังอัตภาพให้เป็นไปได้ทุกขเวทนาก็เกิดอย่างแรงกล้า มีแต่จะกำเริบขึ้น ไม่ทุเลาลงจากนั้น พระองค์จึงตรัสถามถึงเหตุให้เกิดความรำคาญและความเดือดร้อนก็ทรงทราบว่า ท่านพระวักกลิยังมีความรำคาญและความเดือดร้อนแต่ความรำคาญและความเดือดร้อนนั้นไม่ใช่เพราะการล่วงศีลใดๆ

พระผู้พระภาคจึงตรัสถามท่านพระวักกลิต่อไป ดังนี้

" ดูก่อนวักกลิ ถ้าหากว่า ตัวเธอเองติเตียนตนเองโดยศีลไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น เธอจะมีความรำคาญและมีความเดือดร้อนอะไร? "

ท่านพระวักกลิกราบทูลว่า "พระเจ้าข้า จำเดิมแต่กาลนานมาแล้ว ข้าพระองค์ประสงค์จะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า แต่ว่าในร่างกายของข้าพระองค์ไม่มีกำลังพอที่จะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าได้"

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า "อย่าเลย วักกลิ * ร่างกายอันเปื่อยเน่าที่เธอเห็นนี้ จะมีประโยชน์อะไร ดูก่อนวักกลิ ผู้ใดแลเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าย่อมเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นชื่อว่าย่อมเห็นธรรม วักกลิ เป็นความจริง บุคคลเห็นธรรม ก็ย่อมเห็นเรา บุคคลเห็นเรา ก็ย่อมเห็นธรรม"

( * ข้อความในอรรถกถาอธิบายเพิ่มเติมว่า...พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงพระวรกายของพระองค์แม้จะมีสีงามดังสีทองคำอย่างนั้น ก็เพราะหมายความว่า (มีของปฏิกูล) ไหลออกประจำ (แต่) ธรรมกายแล คือ พระตถาคต ความจริงโลกุตตรธรรม ๙ อย่าง (มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑) ชื่อว่า พระกายของพระตถาคต)

ขอเชิญคลิกอ่านได้ที่ ...

ว่าด้วยการเห็นธรรมชื่อว่าเห็นพระพุทธเจ้า [วักกลิสูตร]

ขออุทิศส่วนกุศลแด่สรรพสัตว์


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 13 พ.ย. 2551

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย



[๒๗๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าแม้ภิกษุจับชายสังฆาฏิแล้วพึงเป็นผู้ติดตามไปข้างหลังๆ เดินไปตามรอยเท้าของเราอยู่ไซร้ แต่ภิกษุนั้นเป็นผู้มีอภิชฌาเป็นปกติ มีความกำหนัดแรงกล้าในกามทั้งหลาย มีจิตพยาบาท มีความดำริแห่งใจชั่วร้าย มีสติหลงลืม ไม่รู้สึกตัว มีจิตไม่ตั้งมั่น มีจิตหมุนไปผิด ไม่สำรวมอินทรีย์ โดยที่แท้ ภิกษุนั้นอยู่ห่างไกลเราทีเดียว และเราก็อยู่ห่างไกลภิกษุนั้น ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะภิกษุนั้นย่อมไม่เห็นธรรมเมื่อไม่เห็นธรรมย่อมเชื่อว่าไม่เห็นเรา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 13 พ.ย. 2551

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าแม้ภิกษุนั้นพึงอยู่ในที่ประมาณ ๑๐๐ โยชน์ไซร้ แต่ภิกษุนั้นเป็นผู้ไม่มีอภิชฌา ไม่มีความกำหนัดอันแรงกล้าในกามทั้งหลาย ไม่มีจิตพยาบาท ไม่มีความดำริแห่งใจชั่วร้าย มีสติมั่น รู้สึกตัว มีจิตตั้งมั่น มีจิตมีอารมณ์เป็นอันเดียว สำรวมอินทรีย์โดยที่แท้ ภิกษุนั้นอยู่ใกล้ชิดเราทีเดียว และเราก็อยู่ใกล้ชิดภิกษุนั้น ข้อนั้น เพราะเหตุไร? เพราะภิกษุนั้น ย่อมเห็นธรรม เมื่อเห็นธรรมย่อมชื่อว่าเห็นเรา. (สังฆาฏิสูตร)

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
suwit02
วันที่ 13 พ.ย. 2551

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
aditap
วันที่ 13 พ.ย. 2551

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
เมตตา
วันที่ 14 พ.ย. 2551

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า "อย่าเลย วักกลิ * ร่างกายอันเปื่อยเน่าที่เธอเห็นนี้ จะมีประโยชน์อะไรดูก่อนวักกลิ ผู้ใดแลเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าย่อมเห็นเราผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นชื่อว่าย่อมเห็นธรรม วักกลิ เป็นความจริง บุคคลเห็นธรรม ก็ย่อมเห็นเราบุคคลเห็นเรา ก็ย่อมเห็นธรรม"

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 14 พ.ย. 2551

อนุโมทนาคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
wannee.s
วันที่ 14 พ.ย. 2551

พระพุทธดำรัสที่ว่าผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่าย่อมเห็นตถาตค หมายถึงการเห็นธรรมรู้แจ้งธรรมที่พระผู้มีพระภาคตรัสรู้ คือโลกุตตรธรรม ๙ ขั้นปฏิเวธ เป็นผลของการเจริญธรรมขั้นปฏิบัติ การเจริญธรรมขั้นปฏิบัติต้องอาศัยปริยัติ ด้วยเหตุนี้ปริยัติ คือ การศึกษาพระธรรมวินัยจึงเป็นสรณะ เป็นที่พึ่งเป็นทางนำไปสู่พระพุทธศาสนาขั้นปฏิบัติและขั้นปฏิเวธเป็นลำดับไป

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
pornpaon
วันที่ 15 พ.ย. 2551

ขออนุโมทนาคุณสารธรรม

ขออนุโมทนาในกุศลจิตและกุศลวิริยะของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
Noparat
วันที่ 18 พ.ย. 2551

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
chatchai.k
วันที่ 20 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ