เป็นไปได้มั๊ยความเป็นโสดาบันจะเปลี่ยนแปลงไป?
เรียนถามท่านผู้มีธรรมทุกท่าน ช่วยแสดงความคิดเห็นหน่อยครับ
สมมติว่าตอนเป็นฆราวาส เราบรรลุธรรมขั้นโสดาบัน มีศีล ๕ เป็นเบื้องต้นบริสุทธิ์และละสังโยชน์อีก ๒ ข้อ
และพอมาบวชเป็นภิกษุ ก็ต้องถือศีล ๒๒๗ ใช่มั๊ยครับ การถือศีล ๒๒๗ ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย อาจต้องมีศีลขาดบางข้อเกิดขึ้น
ถามว่า 1. การเป็นพระโสดาบันจะขาดลงหรือไม่ครับ
ขอเจริญในธรรมครับ อนุโมทนา
ควรทราบว่า สิกขาบทที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้อย่างละเอียดนั้น พระสาวกที่เป็นพระอริยบุคคลย่อมต้องอาบัติเล็กน้อยบ้าง เพราะบางสิกขาบทแม้ไม่ได้ตั้งใจ ไม่มีเจตนาก็ต้องอาบัติได้ เรียกว่า อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ โนสัญญาวิโมกข์ ดังนั้นพระโสดาบันท่านย่อมมีโอกาสก้าวล่วงสิกขาบทเล็กน้อยและต้องอาบัติได้ แต่ท่านจะไม่มีความจงใจก้าวล่วงพระบัญญัติอย่างแน่นอน แต่ความเป็นพระอริยบุคคลจะไม่มีการขาดลง หรือสิ้นสภาพความเป็นพระอริยะได้ คือความเป็นพระอริยบุคคลไม่มีวันเสื่อมได้ แม้ว่าท่านจะสิ้นชีวิต ตายจากความเป็นบุคคลนั้นไปแล้วก็ตาม แต่ความเป็นอริยะก็ยังคงความเป็นพระอริยะเหมือนเดิมครับ
ทีนี้ถ้าจะถามเกียวกับพวกเราที่ได้ศึกษาและเข้าใจธรรมมาพอสมควร รู้ว่าอะไรคือ กุศล อกุศล แต่ไม่ได้เป็นโสดาบัน การเข้าใจที่ถูกนี้ (ที่ถูก) จะเปลี่ยนแปลงและเสื่อมได้ไหม ผมเข้าใจว่ากุศลก็อย่างหนึ่ง อกุศลก็อย่างหนึง ถ้าหยุดเจริญกุศล อกุศลก็เจริญ เลยดูหมือนเปลียนและเสื่อม ครับ
ขอถวายความนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย ที่พึ่งอันเกษมสูงสุดของข้าพเจ้า
กว่าจะบรรลุถึงความเป็นพระโสดาบัน พระอริยบุคคลชั้นต้น ไม่ใช่ว่าใครๆ ก็จะเป็นผู้ถึงความเป็นผู้เช่นนั้นกันได้ง่ายๆ
ท่านเป็นผู้ปลอดภัยแล้วจากอบายภูมิ เป็นผู้ไม่มีวันหวนกลับมาเป็นปุถุชนอีก และมีแต่จะค่อยๆ บรรลุสู่ความเป็นพระอริยบุคคลในลำดับที่สูงขึ้นไปจนถึงความเป็นพระอรหันต์ค่ะ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตและกุศลวิริยะของทุกท่านค่ะ
บุคคลที่บรรลุเป็นพระโสดาบันแล้ว ไม่มีทางกลับมาเป็นปุถุขนอีก เพราะว่ากิเลสที่ท่านละแล้ว ตั้งแต่เป็นโสดาปัตติมรรค จะไม่เกิดอีกเลยในสังสารวัฏฏ์ พระโสดาบันท่านละสักกายทิฏฐิ คือการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน ท่านละวิจิกิจฉา คือความลังเลสงสัยในคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ละหนทางที่ปฏิบัติผิดค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ควรแยกระหว่างศีล 5 กับปาฏิโมกขศีล (ศีลของพระ) เมื่อเป็นพระโสดาบันแล้วจะไม่ล่วงศีล 5 อีกเลย และไม่เสื่อมจากคุณธรรมความเป็นพระโสดาบันด้วย เพราะดับกิเลสอันทำให้ถึงความเป็นพระโสดาบันแล้ว เมื่อไม่มีเชื้อของกิเลสนั้นก็ไม่เสื่อมจากความเป็นพระโสดาบัน แต่เมื่อบวชเป็นเพศภิกษุ ย่อมมีโอกาสล่วงสิกขาบทเล็กน้อยได้ แม้พระอรหันต์ยังล่วงสิกขาบทได้จะกล่าวไปใยถึงพระโสดาบัน แต่การล่วงสิกขาบทของท่านเพราะความไม่รู้ ไม่ใช่รู้แล้วยังล่วงครับ ที่สำคัญพระโสดาบันและพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ เมื่อล่วงสิกขาบทแล้วย่อมเปิดเผยแก่เพื่อนพรหมจรรย์ครับ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าพระอริยบุคคลย่อมมีโอกาสล่วงสิกขาบทแต่ไม่ใช่เพราะเจตนาตั้งใจจะก้าวล่วงและเมื่อล่วงก็เปิดเผย ไม่ปิดบังครับ ส่วนคุณธรรมของท่านก็ไม่เสื่อม การล่วงสิกขาบทไม่ได้ทำให้ขาดจากรพะโสดาบันเพราะ กิเลสที่ดับไปแล้วที่ทำให้เป็นพระโสดาบันจะไม่กลับมาเกิดอีกเลยจึงไม่เสื่อมจากคุณธรรม
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เด็กเยาว์อ่อนนอนหงายเอามือเอาเท้าเหยียบถ่านไฟ ย่อมหดกลับฉับพลัน ฉันใด
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถึงแม้ว่า พระโสดาบันต้องอาบัติเห็นปานนั้น การออกจากอาบัติเห็นปานนั้น ย่อมปรากฏ ที่นั้นแหละพระโสดาบันย่อมรีบแสดง เปิดเผย ทำให้ง่าย ในพระศาสดาที่รอในเพื่อนสพรหมจารีผู้เป็นวิญญูชน ครั้นแล้วก็สำรวมระวังต่อไป นี้เป็นธรรมดาของบุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน. (อรรถกถารัตนสูตร)
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ทีนี้ถ้าจะถามเกียวกับพวกเราที่ได้ศึกษาและเข้าใจธรรมมาพอสมควร รู้ว่าอะไรคือ กุศล อกุศล แต่ไม่ได้เป็นโสดาบัน การเข้าใจที่ถูกนี้ (ที่ถูก) จะเปลี่ยนแปลงและเสื่อมได้ไหม ผมเข้าใจว่ากุศลก็อย่างหนึ่ง อกุศลก็อย่างหนึง ถ้าหยุดเจริญกุศล อกุศลก็เจริญ เลยดูหมือนเปลียนและเสื่อม ครับ
ความเข้าใจที่เกิดขึ้นไม่ได้หายไปไหน แต่สะสมอยู่ที่จิตขณะต่อไป ถ้าหายไปก็เป็นโมฆะสูญเปล่า ก็ไม่สามารถสะสมความเข้าใจสูงขึ้นเพราะของเก่าหายไป แต่ความจริงไมได้เป็นอย่างนั้นครับ อกุศลก็เช่นกันเมื่อเกิดขึ้นก็สะสมต่อไปในจิตขณะต่อไปที่เกิดขึ้น ดังนั้นต้องมาเข้าใจความหมายของคำว่าเสื่อม ขณะที่กุศลเกิดขึ้นและดับไปอกุศลเกิดต่อ ขณะนั้นก็กล่าวได้ว่าเสื่อมจากกุศลในขณะนั้น เพราะอกุศลเกิดขึ้น แต่กุศลที่เกิดก่อนหน้านี้ก็สะสมแล้ว ขณะที่เข้าใจถูกเกิดขึ้น และอกุศลเกิดต่อ เสื่อมจากกุศลเป็นอกุศล แต่ความเข้าใจถูกสะสมที่จิตขณะต่อไปแล้ว ไมได้หายไปไหนครับ สะสมทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดี พระโสดาบันท่านก็มีอกุศล เมื่ออกุศลเกิดขึ้นท่านก็เสื่อมจากกุศล แต่ท่านไม่ได้เสื่อมหรือเปลี่ยนจากกิเลสที่ดับแล้วครับ เพราะท่านดับเชื้อจนหมดจึงไม่เสื่อมจากคุณธรรมและความเป็นพระโสดาบันครับ
ขอนุโมทนา
ผู้ที่ได้บรรลุถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ จะไม่มีวันเสื่อมจากความเป็นพระอริยบุคคลขั้นนั้นๆ พระโสดาบันบุคคลได้ดับความเห็นผิดที่ยึดสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล และดับความสงสัยในสภาพธรรมซึ่งก็คือ ดับวิจิกิจฉา จะไม่มีวันหวนกลับมาเป็นปุถุชนอีก จากความคิดเห็นที่ 2 คุณchoonj
ที่ว่า ทีนี้ถ้าจะถามเกียวกับพวกเราที่ได้ศึกษาและเข้าใจธรรมมาพอสมควร รู้ว่าอะไรคือ กุศล อกุศล แต่ไม่ได้เป็นโสดาบัน การเข้าใจที่ถูกนี้ (ที่ถูก) จะเปลี่ยนแปลงและเสื่อมได้ไหม หากเราได้ศึกษาและเข้าใจธรรมพอสมควร แล้วมีโอกาสได้ฟังพระธรรมอีกก็จะได้สะสมความเข้าใจถูกต่อไป ตราบใดที่ยังไม่ได้บรรลุเป็นโสดาบันก็มีโอกาสเปลี่ยนเป็นผู้มีความเห็นผิดได้ค่ะ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ...
ขอบคุณความเห็นที่ ๗ ตอบตรงคำถามของผมซึ่งผมก็เข้าใจอย่างนี้แต่ไม่แน่ใจจึงถาม ถ้าอย่างนั้นผู้ที่ศึกษาธรรมและยังไม่เป็นโสดาบันเมื่อจุติจิตเกิด โอกาสที่จะไปดีก็สูง เช่น ศึกษาจนรู้กุศลจิตและอกุศลจิตได้ดีพอสมควร เมื่อจุติจิตเกิดโอกาสที่จิตจะปฏิเสธอกุศลมีสูง สหายธรรมที่จากเราไปก็คงจะไปดีสูงมาก ใช่ไหมครับ
จากความเห็นที่ 9 ไม่แน่นอนเสมอไปครับ
ต้องไม่ลืมว่าเราเกิดมาในสังสารวัฎนับชาติไม่ถ้วน ชาติที่เจอพระพุทธศาสนามากไหมครับ แล้วชาติที่ไม่เจอพระพุทธศาสนามีมากไหมครับ
ดังนั้นการสะสมความเห็นถูกจึงมีน้อย ต้องใช้เวลานาน แม้ชาติที่เจอพระพุทธศาสนายังทำบาปมากมาย จะกล่าวไปใยถึงชาติที่ไม่พบพระพุทธศาสนา ในพระไตรปิฎกแสดงไว้ว่าการเกิดเป็นมนุษย์เป็นของยาก เกิดในสุคติยากเพราะอกุศลทำมามากในสังสารวัฏฏ์มากกว่ากุศล ตราบใดที่ยังไม่ใช่พระโสดาบันก็ยังไม่ปิดประตูอบาย ซึ่งตัวอย่างในพระไตรปิฎก พระนางมัลลิกา ทำบุญมากมายในพระพุทธศาสนาแต่เมื่อตายไปก็ไปเกิดในนรกได้เพราะอกุศลกรรมให้ผล ที่สำคัญไม่ต้องห่วงเรื่องภพภูมิ อบรมเหตุดีกว่าคือ ฟังพระธรรมและเจริญกุศลทุกประการ ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาครับ
ขออนุโมทนา
ที่สำคัญไม่ต้องห่วงเรื่องภพภูมิ อบรมเหตุดีกว่าคือ ฟังพระธรรมและเจริญกุศลทุกประการ ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาครับ
ขออนุโมทนา
แล้วแต่กรรมจริงๆ ครับ ไม่มีใครรู้ว่ากรรมใดจะให้ผลในขณะไหนจึงไม่ควรเป็นผู้ประมาทว่าความดีที่ได้กระทำนั้นมากพอแล้ว ต้องไม่ลืมว่าอกุศลกรรมที่ได้กระทำมา ก็มีไม่น้อยและกิเลสที่มีก็ยังไม่ได้ดับเป็นสมุจเฉท ยังสามารถที่จะเป็นพืชเชื้อ ให้เราหลงกระทำอกุศลกรรมบถได้อยู่ทุกเมื่อที่เราหลงลืมสติ เพราะฉะนั้น ก็ควรฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญา และกุศลทุกประการต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่ติดพันในผลของกุศลกรรมดีกว่าครับ