อัตตทัณฑสูตร .. ความสลดใจ
สนทนาธรรมที่ ...
มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา
พระสูตร ที่นำมาสนทนาที่มูลนิธิฯ
วันเสาร์ ๒๒ พ.ย. ๒๕๕๑ เวลา ๐๙:๐๐ - ๑๒:๐๐น. คือ
อัตตทัณฑสูตรที่ ๑๕ว่าด้วยความสลดใจ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้าที่ ๘๓๙
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๖ - หน้าที่ ๘๓๙
อัตตทัณฑสูตรที่ ๑๕ว่าด้วยความสลดใจ
[๔๒๒] ภัยเกิดแล้วแต่อาชญาของตน ท่านทั้งหลายจงเห็นคนผู้ทะเลาะกัน เราจักแสดงความสลดใจตามที่เราได้สลดใจมาแล้ว. เราได้เห็นหมู่สัตว์ กำลังดิ้นรนอยู่ (ด้วย
ตัณหาและทิฏฐิ) เหมือนปลาในแอ่งน้ำน้อย ฉะนั้นภัยได้เข้ามาถึงเราแล้ว เพราะได้เห็นคนทั้งหลายผู้พิโรธกันและกัน. โลกโดยรอบหาแก่นสารมิได้ ทิศทั้งปวงหวั่นไหวแล้ว เราปรารถนาความต้านทานแก่ตนอยู่ ไม่ได้เห็นสถานที่อะไรๆ อันทุกข์มีชราเป็นต้นไม่ครอบงำแล้ว. เราไม่ได้มีความยินดี เพราะได้เห็นสัตว์ทั้งหลาย ผู้อันทุกข์มีชราเป็นต้นกระทบแล้วผู้ถึงความพินาศ อนึ่ง เราได้เห็นกิเลสดุจลูกศรมีราคะเป็นต้น ยากที่สัตว์จะเห็นได้ อันอาศัยหทัยในสัตว์เหล่านี้. สัตว์อันกิเลสดุจลูกศรมีราคะเป็นต้นใดเสียบติดอยู่แล้ว ย่อมแล่นไปยังทิศทั้งปวง บัณฑิตถอนกิเลสดุจลูกศร มีราคะ เป็นต้นนั้นออกได้แล้วย่อมไม่แล่นไปยังทิศและไม่จมลงในโอฆะทั้งสี่. อารมณ์น่ายินดีเหล่าใด มีอยู่ในโลกหมู่มนุษย์ย่อมพากันเล่าเรียนศึกษา เพื่อให้ได้ซึ่งอารมณ์ที่น่ายินดีเหล่านั้น กุลบุตรผู้เป็นบัณฑิตไม่พึงขวนขวายในอารมณ์ที่น่ายินดีเหล่านั้น พึงเบื่อหน่ายกามทั้งหลายโดยประการทั้งปวง แล้วพึงศึกษานิพพานเพื่อตน. มุนีพึงเป็นผู้มีสัจจะ ไม่คะนอง ไม่มีมายา ละการส่อเสียดเสีย เป็นผู้ไม่โกรธ พึงข้ามความโลภอันลามกและความตระหนี่เสีย. นรชนพึงครอบงำความหลับ ความเกียจคร้าน ความท้อแท้เสีย ไม่พึงอยู่ร่วมด้วยความประมาท ไม่พึงดำรงอยู่ในการดูหมิ่นผู้อื่น พึงมีใจน้อมไปในนิพพาน. ไม่พึงน้อมไปในการกล่าวมุสา ไม่พึงกระทำความเสน่หาในรูป และพึงกำหนดรู้ความถือตัว พึงเว้นเสียจากความผลุนผลันแล้วเที่ยวไป. ไม่พึงเพลิดเพลินถึงอารมณ์ที่ล่วงมาแล้ว ไม่พึงกระทำความพอใจในอารมณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า ไม่พึงเศร้าโศกถึงอารมณ์ที่กำลังละไปอยู่ ไม่พึงเป็นผู้อาศัยตัณหา. เรากล่าวความกำหนัดยินดีว่า เป็นโอฆะอันใหญ่หลวง กล่าวตัณหาว่า แล่นไปเร็วกล่าวตัณหาว่า เป็นเครื่องกระซิบใจ กล่าวตัณหาว่า เป็นอารมณ์ กล่าวตัณหาว่า ทำใจให้กำเริบเปือกตมคือกาม ยากที่สัตว์จะล่วงไปได้. พราหมณ์ผู้เป็นมุนี ไม่ปลีกออกจากสัจจะแล้ว ย่อมตั้งอยู่บนบก คือ นิพพาน มุนีนั้นแล สละพ้นอายตนะทั้งหมดแล้ว โดยประการทั้งปวงเรากล่าวว่า เป็นผู้สงบ. มุนีนั้นแลเป็นผู้รู้ เป็นผู้ถึงเวท รู้สัง-ขตธรรมแล้ว อันตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัย เป็นอยู่ในโลกโดยชอบ ย่อมไม่ทะเยอทะยานต่ออะไรๆ ในโลกนี้. ผู้ใดข้ามกามทั้งหลาย และธรรมเป็นเครื่องข้องยากที่สัตว์จะล่วงได้ในโลกมิได้แล้ว ผู้นั้นตัดกระแสตัณหาขาดแล้ว ไม่มีเครื่องผูกพันย่อมไม่เศร้าโศก ย่อมไม่เพ่งเล็ง. ท่านจงทำกิเลสชาติ เครื่องกังวล ในอดีตให้เหือดแห้ง กิเลสชาติเครื่องกังวลในอนาคตอย่าได้มีแก่ท่าน ถ้าท่านจักไม่ถือเอาในปัจจุบันไซร้ ท่านจักเป็นผู้สงบเที่ยวไป. ผู้ใดไม่มีความยึดถือในนามรูป ว่าเป็นของเราโดยประการทั้งปวง และไม่เศร้าโศกเพราะเหตุแห่งนามรูปอันไม่มี ผู้นั้นแลย่อมไม่เสื่อมในโลก. ผู้ใดไม่มีกิเลสเครื่องกังวลว่า สิ่งนี้ของเรา และว่า สิ่งนี้ของผู้อื่น ผู้นั้นไม่ประสบการยึดถือในสิ่งนั้นว่าเป็นของเราอยู่ ย่อมไม่เศร้าโศกว่า ของเราไม่มี. เราเป็นผู้อันเขาถามถึง บุคคลผู้ไม่หวั่นไหว จะบอกอานิสงส์ ๔ อย่างในบุคคลนั้นดังนี้ว่า บุคคลนั้นไม่มีความขวนขวาย ไม่กำหนัดยินดี ไม่มีความหวั่นไหว เป็นผู้เสมอในอารมณ์ทั้งปวง. ธรรมชาติเครื่องปรุงแต่งอะไรๆ ย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่หวั่นไหว ผู้รู้แจ้ง ผู้นั้นเว้นแล้วจากการปรารภมีปัญญาภิสังขารเป็นต้น ย่อมเห็นความปลอดโปร่งในที่ทุกสถาน. มุนีย่อมไม่กล่าวยกย่องตนในบุคคลผู้เสมอกัน ผู้ต่ำกว่า ผู้สูงกว่า มุนีนั้นเป็นผู้สงบปราศจากความตระหนี่ ย่อมไม่ยึดถือ ไม่สละธรรมอะไรๆ ในบรรดาธรรมมีรูปเป็นต้น,
จบอัตตทัณฑสูตรที่ ๑๕
อรรถกถาอัตตทัณฑสูตรที่ ๑๕
อัตตทัณฑสูตรมีคำเริ่มต้นว่า อตฺตทณฺฑา ภยํ ชาตํ ดังนี้
พระสูตรนี้มีการเกิดขึ้นอย่างไร ?
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทราบการทะเลาะกันเพราะเรื่องน้ำของเจ้าศากยะและเจ้าโกลิยะ ดังได้พรรณนาไว้แล้วในเรื่องการเกิดขึ้นแห่งสัมมาปริพพาชนิยสูตร ทรงดำริว่าพวกพระญาติทะเลาะกัน เอาเถิดเราจักห้ามพระญาติเหล่านั้นดังนี้ เสด็จประทับยืน ณ ท่ามกลางเหล่าเสนาทั้งสองฝ่าย แล้วจึงตรัสพระสูตรนี้..................