ความคิดนึกทางใจ และ สิ่งที่ปรากฏทางตา

 
พุทธรักษา
วันที่  16 พ.ย. 2551
หมายเลข  10415
อ่าน  1,191

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ท่านผู้ฟัง ท่านอาจารย์คะ หมายความว่าขณะที่หนูเห็นท่านอาจารย์นี้ ก็คือความคิด ที่จำได้ ว่าเป็นท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์ ถูกต้องค่ะ จากสิ่งที่กำลังเห็นนี้เพราะฉะนั้น เวลาที่ออกไปจากห้องนี้ หรือเวลาที่ไม่เจอกันก็สามารถคิดถึงได้...แต่ไม่ใช่อย่างที่เห็นเดี๋ยวนี้.คิดให้เหมือนเห็นเดี๋ยวนี้คิดไม่ได้

ท่านผู้ฟัง เมื่อเรารู้ว่า สิ่งนี้เกิดขึ้นจากความจำ อย่างเห็นท่านอาจารย์ก็รู้ว่าเป็นท่านอาจารย์ และรู้ว่าเป็น จิตที่จำ เป็นสัญญาที่จำก็รู้ว่าเป็นความคิดทั้งหมดอันนี้ คือ ความเข้าใจถูกเบื้องต้นใช่ไหมคะ

ท่านอาจารย์ ค่อยๆ ระลึกได้ เพราะเวลาปกติที่เราเห็น เราไม่เคย "ระลึก" สักทีว่า "สิ่งที่ปรากฏ" คืออย่างนี้ ใช่ไหม ไม่เคยรู้ว่า เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่งเท่านั้น.แต่ถ้าเรา "อบรม" มากขึ้นๆ เราก็สามารถแยกสภาพธรรมที่ปรากฏ แต่ละทางๆ ได้ละเอียดกว่านี้

ท่านผู้ฟัง ท่านอาจารย์คะ โดยปกติแล้ว สิ่งที่ปรากฏทาง ๕ ทวารนี้ เป็นปรมัตถ์ตามความเป็นจริงของหนูเอง ไม่เคยปรากฏ แต่มีความเข้าใจว่าสิ่งที่ปรากฏ คือสิ่งที่มาทางใจ และเป็นเรื่องราวโดยตลอดนานๆ ที่อาจจะมีสติระลึก ซึ่งไม่ใช่สติปัฏฐาน แต่เป็นสติขั้นทาน ขั้นศีล ขั้นคิดนึก ซึ่งเป็นเรื่องราวโดยตลอด

ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะฉะนั้นต้องฟังแล้ว ฟังอีก ฟังแล้ว ฟังอีก นะคะ.ไม่ต้องคอยสติแต่ให้มีความเข้าใจ "ลักษณะ" ของสภาพธรรม ในขณะที่กำลังฟังเช่นขณะที่ฟังเรื่อง สิ่งที่ปรากฏทางตา ก็ฟังอีก เพื่อให้เข้าใจขึ้นอีกให้ลึกจรดกระดูกลงไป ว่าเป็นเพียง "สิ่งที่ปรากฏทางตา"นอกจากนั้น เป็น "ความคิดนึก" ทั้งหมด แล้วการที่จะเข้าใจอย่างนี้ ก็จะเป็นเหตุให้ระลึกได้ ในขณะที่เห็นจนกว่าปัญญา จะถึงระดับที่ค่อยๆ คลาย ความไม่รู้ แล้วสามารถที่จะรู้ได้ทันที ว่าเป็นเพียง สิ่งที่ปรากฏทางตา แยกจากทางใจ


บรรยายโดยอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ขออนุโมทนา

ก. ถ้าไม่ให้ติดในบัญญัติ ก็เกรงว่า ก็เลยไม่ทราบว่า นี่คือปากกา

สุ. นั่นผิด เพราะไม่ใช่การรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาปรากฏแล้วดับไป แล้วมโนทวารวิถีจิตก็เกิดขึ้น รู้บัญญัติต่อ ปัญญาต้องรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงว่า รูปารมณ์ ที่ปรากฏทางจักขุทวาร เป็นอย่างไร ต่างกับขณะที่จิตรู้บัญญัติ อย่างไร จึงสามารถที่จะละคลาย การยึดถือรูปารมณ์ที่ กำลังปรากฏ ว่าเป็นสัตว์ บุคคล เป็นวัตถุที่ตั้งของความพอใจ และรู้ว่าในขณะที่เห็นเป็นหญิงเป็นชาย เป็นสัตว์ เป็นบุคคลต่างๆ นั้น เป็นการรู้นิมิต หรือบัญญัติทางมโนทวาร

ผู้อบรมเจริญสติปัฏฐานและยังไม่ประจักษ์ การเกิดดับ ของนามธรรม และรูปธรรมนั้น เมื่อยังไม่รู้ "ลักษณะ" ของสภาพธรรมที่ปรากฏ ตามปกติ ตามความเป็นจริงว่า ปรมัตถธรรม ไม่ใช่บัญญัติ ก็จะต้อง "อบรมเจริญปัญญา" ไปเรื่อยๆ ในขณะที่สภาพธรรม กำลังปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

ข้อมูลจาก "ธัมมนิทเทส"

ขออนุโมทนา


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
suwit02
วันที่ 17 พ.ย. 2551

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
opanayigo
วันที่ 17 พ.ย. 2551

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
เมตตา
วันที่ 18 พ.ย. 2551

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
สุภาพร
วันที่ 18 พ.ย. 2551

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Komsan
วันที่ 18 พ.ย. 2551
ขออนุโมทนาครับ
 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
pornpaon
วันที่ 18 พ.ย. 2551

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
pamali
วันที่ 1 ก.ค. 2553

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
chatchai.k
วันที่ 19 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ