ความเชื่อเรื่องกรรม...ยังไม่พอ

 
พุทธรักษา
วันที่  17 พ.ย. 2551
หมายเลข  10424
อ่าน  1,226

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ท่านผู้ฟัง ท่านอาจารย์หมายความว่า เวลาที่เรามีความทุกข์เราก็เข้าใจว่า เป็นสิ่งที่เราทำขึ้นเอง เป็นกรรมของเราเราก็มั่นคง ในลักษณะที่ว่า เรายอมรับ ใช่ไหมคะ

ท่านอาจารย์ อย่างไรก็ตาม วิบากทั้งหลายต้องเกิด เพราะมีกรรมเป็นปัจจัยแต่กรรมมีเยอะมาก ทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรมเพราะฉะนั้น ถ้าเราตกอยู่ในฐานะที่ไม่มีอะไรจะช่วยได้สิ่งที่จะช่วยได้ต้องเป็น กุศลกรรมแล้วแต่ว่า กุศลกรรม จะให้ผลในขณะนั้นหรือไม่ ถ้าเรามีความมั่นคงหนักแน่นจริงๆ นะคะเราระลึกถึงพระธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่ใช่ระลึกถึงตัวเรา.

ในยามใดที่มีอะไรเกิดขึ้นกับเรา และเราก็ระลึกถึงกุศล ระลึกถึงสัจจะแล้วแต่อะไรจะเกิด แล้วแต่ความจริงของธรรมก็คืออย่างนี้ มีที่พึ่งอย่างนี้ ถ้ากุศลมีปัจจัยทำให้เราแคล้วคลาดจากอันตรายเราก็แคล้วคลาดได้เราไม่รู้ว่า กรรมไหนจะให้ผล เกิดมาแล้ว ก็ต้องตายเกิดมาแล้ว ก็ต้องเจ็บ ต้องมีสุขบ้าง ทุกข์บ้าง

ประเสริฐกว่านั้น คือ สามารถ ระลึกลักษณะที่เป็นธรรม ที่ไม่ใช่ตัวตนเป็นหนทางเดียว ที่จะทำให้พ้นจากสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้เด็ดขาด


บรรยายโดย อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ในทีฆนิกาย มหาปรินิพพานสูตร พระผู้มีพระภาคตรัสกับท่านพระอานนท์ ว่า

“ดูกร อานนท์ บัดนี้ เราแก่เฒ่าเป็นผู้ใหญ่ ล่วงกาลผ่านวัยมาโดยลำดับแล้ว วัยของเราเป็นมาถึง ๘๐ ปีแล้ว เพราะฉะนั้น พวกเธอ จงมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง มิใช่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง คือ จงมีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง มิใช่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่เถิด ดูกรอานนท์ อย่างไรเล่า ภิกษุ จึงจะชื่อว่ามีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่งมิใช่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง คือ จงมีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง มิใช่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณา เห็นกาย ในกายอยู่ พิจารณา เห็นเวทนา ในเวทนาอยู่ พิจารณา เห็นจิต ในจิตอยู่ พิจารณา เห็นธรรม ในธรรมอยู่ เป็นผู้มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลก อย่างนี้แล”


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
เมตตา
วันที่ 18 พ.ย. 2551

ในยามใดที่มีอะไรเกิดขึ้นกับเรา และเราก็ระลึกถึงกุศล ระลึกถึงสัจจะแล้วแต่อะไรจะเกิด แล้วแต่ความจริงของธรรมก็คืออย่างนี้...มีที่พึ่งอย่างนี้

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
JANYAPINPARD
วันที่ 18 พ.ย. 2551

[เล่มที่ 29] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๒- หน้าที่ 48

อัฏฐสตปริยายวรรคที่ ๓

๑. สิวกสูตร

พุทธดำรัสตอบ “เวทนาอันบุคคลเสวยในโลกนี้ บางเหล่าเกิดขึ้นมีดีเป็นสมุฏฐานก็มี มีสวนต่างๆ เหล่านั้นรวมกันเป็นสมุฏฐานก็มี เกิดแต่ความแปรแห่งฤดูก็มี เกิดแต่การบริหารร่างกายไม่สม่ำเสมอก็มี เกิดแต่ความพยายาม (ของตน) ก็มี เกิดแต่วิบากแห่งกรรมก็มี..... ข้อนี้อันเจ้าตัวเองก็รู้เช่นนั้น อันโลกก็สมมติว่าเป็นจริง สมณะพราหมณ์ทั้งหลายเหล่าใด มักกล่าวและมีความเห็นในข้อนั้นอย่างนี้ว่า “บุคคลเสวยเวทนาทั้งปวง (สุข ทุกข์ ไม่สุข ไม่ทุกข์) เพราะเหตุแห่งกรรมที่ตนทำแล้วในก่อน เขาย่อมเพิกเฉยข้อที่ตนเองก็รู้ดี ย่อมเพิกเฉยต่อข้อที่โลกสมมติว่าเป็นจริง เพราะฉะนั้นเรากล่าวว่าการกล่าวแลความเห็นอย่างนี้ของสมณะพราหมณ์เหล่านั้นเป็นการกล่าวผิดและเห็นผิด” ดังนี้

สุข ทุกข์ ไม่สุข ไม่ทุกข์ ไม่ได้เกิดจากผลของกรรมเท่านั้นเกิดจากกิเลสก็มี..โดยมีสิ่งแวดล้อมเป็นปัจจัย เช่น ลมฟ้าอากาศหรือธาตุทั้ง 4 ไม่สมดุลย์ (รูป) เป็นต้น

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
suwit02
วันที่ 18 พ.ย. 2551

ขออนุญาตเสริมความเห็นที่ 2 ครับ

ข้อความจากอรรถกถาพระสูตรดังกล่าว (หน้า 50)

บทว่า เวทยิตานิ คือเวทนา. เวทนา ๓ ย่อมเกิดขึ้นในบุคคลนั้นเพราะดีเป็นปัจจัย.

ถามว่า อย่างไร

ตอบว่า ฝ่ายบุคคลบางคนคิดว่า ดีของเรากำเริบแล้ว ก็แล ชีวิตรู้ได้ยาก ย่อมให้ทาน สมาทานศีล กระทำอุโบสถกรรม.

กุศลเวทนา ย่อมเกิดขึ้นแก่บางคนนั้นด้วยอาการอย่างนี้

ส่วนบางคนคิดว่า เราจักทำเภสัชแก้ดี ย่อมฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ พูดเท็จ ย่อมทำทุสีลกรรม ๑๐ ก็มี

อกุศลเวทนา ย่อมเกิดขึ้นแก่บางคนนั้น ด้วยอาการอย่างนี้.

แต่บางคนมีตนเป็นกลางว่า ดีของเราย่อมไม่สงบด้วยการทำยา แม้ประมาณเท่านี้ เรื่องยานั้นพอกันที ย่อมนอนอดกลั้นซึ่งเวทนาทางกาย

อัพยากตเวทนา ย่อมเกิดขึ้นแก่บางคนนั้นด้วยอาการอย่างนี้

บทว่า กมฺมวิปากชาตานิ คือ เกิดแต่ผลของกรรมอย่างเดียว ก็เมื่อกรรมวิบากเหล่านั้น เกิดขึ้นแล้ว บางคนย่อมทำกุศล บางคนย่อมทำอกุศล บางคนย่อมนอนอดกลั้นอยู่. ก็เวทนา๓ อย่าง ย่อมมีในวาระทั้งปวงอย่างนี้ ในเวทนาเหล่านั้น เวทนาอันเป็นไปในสรีระซึ่งเกิดขึ้นด้วยเหตุ ๗ อย่างข้างต้น ใครๆ ก็อาจเพื่อจะห้ามได้ แต่เภสัชทั้งปวงก็ดี เครื่องป้องกันก็ดี

ก็ไม่สามารถเพื่อกำจัดเวทนาอันเกิดแต่ผลของกรรมได้เลย

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ajarnkruo
วันที่ 18 พ.ย. 2551

สุขกาย - เพราะกุศลกรรมให้ผล โดยมีกายเป็นที่รับผลของกุศลกรรมทุกข์กาย - เพราะอกุศลกรรมให้ผล โดยมีกายเป็นที่รับผลของอกุศลกรรมสุขใจ - เป็นอกุศลจิตก็มี เป็นกุศลจิตก็มีทุกข์ใจ - เป็นอกุศลจิตอย่างเดียว

เฉยๆ - เป็นอกุศลจิตก็มี เป็นกุศลจิตก็มี

...ขออนุโมทนาครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
pornpaon
วันที่ 18 พ.ย. 2551

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
choonj
วันที่ 19 พ.ย. 2551

พระพุทธองค์ปรินิพพานแล้ว หมดโอกาสที่จะเป็นทีพึ่งได้แล้ว ด้วยพระเมตตาคุณต่อสัตว์โลก จึงตรัสว่า พวกเธอจงมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง คือมีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ธรรมที่เป็นที่พึ่งไม่ใช่สิ่งอื่น คือ เห็น กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต และ ธรรมในธรรม ตอนนี้รู้แล้ว ไม่ต้องไปหาที่พึ่งอื่นอีก ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
nida
วันที่ 20 พ.ย. 2551

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
michii
วันที่ 20 พ.ย. 2551

ขอบคุณที่หาคำอธิบายที่ดีมาเผยแพร่ กระจ่างมากค่ะ

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
pamali
วันที่ 30 มิ.ย. 2553

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
chatchai.k
วันที่ 19 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ