บุญญกิริยาวัตถุ - ศีล (๑)
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ข้อความบางตอนจากหนังสือบุญญกิริยาวัตถุ ๑๐ โดย อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
เพียงการสละวัตถุสิ่งของเพื่อเป็นประโยชน์สุขของผู้อื่นนั้นก็ยังขัดเกลากิเลสไม่พอ เพราะกิเลสมากมายเหลือเกิน คนที่มีกิเลสพอกพูนหนาแน่นมากนั้น ได้ชื่อว่า "ปุถุชน" คนที่ไม่ใช่ "พระอริยบุคคล"เพราะยังไม่รู้แจ้งอริยสัจจ์ ๔ เป็น "ปุถุชน" ทุกคนที่เป็นปุถุชน เพราะไม่รู้ "ลักษณะ" ของสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง
เมื่อไม่รู้ความจริงของสภาพธรรมทั้งหลายความยินดี ยินร้าย ก็เกิดขึ้นได้ ในขณะที่จิตเป็นอกุศลและกิเลสที่เกิดกับจิตแต่ละขณะ ก็สะสมพอกพูนอยู่ในจิต สืบต่อกันทุกๆ ขณะทำให้ปรากฏเป็นสภาพของกิเลสที่สะสมมา "ในลักษณะต่างๆ "
พระผู้มีพระภาคทรงสอนให้พิจารณาจิตใจของเราเองแทนการเพ่งโทษของคนอื่นเพราะการเพ่งโทษของคนอื่น ย่อมทำให้จิตใจเป็นอกุศลและเป็นการเพิ่มพูนกิเลส อาสวะซึ่งจะทำให้ห่างไกลพระนิพพานออกไปทุกที กุศลทุกอย่าง เป็นการสละ หรือขัดเกลากิเลสทั้งนั้นการกระทำทุกอย่างที่เกิดขึ้น จะต้องมีเหตุผลทั้งนั้นและเหตุของการกระทำที่ไม่ดีทั้งหมดนั้นก็เกิดจาก "กิเลส" เท่านั้น
การรักษาศีลนั้น ก็เพื่อขจัด "โทสะ" แต่ว่าในขณะที่มีเจตนาเว้นการกระทำทางกาย ทางวาจาที่เบียดเบียนคนอื่นให้เดือดร้อนนั้นก็จะต้อง "ไม่มีโลภะ" เกิดขึ้นขัดขวางด้วยจึงจะเว้นการกระทำทุจริตนั้นได้ เพราะว่าศีล ย่อมขาดได้ เพราะเหตุแห่งลาภบ้าง ยศบ้างเพราะเหตุแห่งญาติบ้าง หรือว่าเพราะเหตุแห่งชีวิตบ้าง
โลภะเป็นมูล เพราะเป็นเหตุให้ปรารถนาติดข้องอยากได้ในวัตถุสิ่งของต่างๆ ก็จริงแต่การล่วงเป็นทุจริต แต่ละครั้ง ต้องเป็นเพราะ "ขาดเมตตา" ในผู้อื่นและธรรมที่ตรงกันข้ามกับเมตตา คือ โทสะโทสะ เป็นสภาพธรรมที่หยาบกระด้างและประทุษร้ายนั่นเอง เช่น คนที่อยากได้ทรัพย์ของคนอื่นแล้วประทุษร้ายคนอื่น เพื่อต้องการทรัพย์นั้นเห็นได้ชัดว่า "ขาดเมตตา" เมื่อยังมีเมตตาอยู่ตราบใด การที่จะกระทำกายทุจริต วจีทุจริตที่จะเป็นเหตุให้คนอื่นเดือดร้อน ก็จะไม่มีเลย
ข้อสำคัญก็คือ จะต้องเห็นโทษของกิเลสเสียก่อนเพราะนอกจากจะทำให้จิตใจเศร้าหมอง ไม่สงบแล้วก็ยังเป็นเหตุให้เกิดการกระทำที่ไม่ดี ทางกาย และทางวาจาด้วยกิเลส เบียดเบียนทั้งตัวเองและคนอื่นให้เดือดร้อน ความสุขที่แท้จริง ไม่ได้อยู่ที่ทรัพย์สมบัติ รูปสมบัติ หรือ ลาภ ยศ แต่อยู่ที่ "การไม่มีกิเลส" เท่านั้น
ความสวยงาม ก็เป็นประโยชน์อย่างหนึ่งของร่างกายคือทำให้เจริญตาเจริญใจคนที่มีอายุมากนั้น ก็ย่อมเป็นที่เคารพนับถือ การมีชาติตระกูลสูงนั้น ย่อมมีประโยชน์ แต่ว่า "คนที่มีศีล" นั้นย่อมเป็นที่รักที่พอใจของทุกคน
ขออนุโมทนา
"คนที่มีศีล" นั้นย่อมเป็นที่รักที่พอใจของทุกคน ผู้มีศีล ย่อมมีแต่ความสุขที่แท้จริงเพราะไม่มีกิเลส มีความประพฤติดีงามทางกาย และ วาจา ย่อมเป็นผู้มีจิตเมตตาต่อผู้อื่น ไม่หวังร้ายหรือเบียดเบียนผู้อื่น จึงเป็นที่รักที่พอใจของทุกๆ คน
ขออนุโมทนาค่ะ