บุญญกิริยาวัตถุ - ศีล (๒)
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ข้อความบางตอนจากหนังสือ"บุญญกิริยาวัตถุ ๑๐" โดย อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
กิเลส เป็นสิ่งที่ทำให้จิตใจเศร้าหมอง ไม่สงบจะมากหรือน้อย ก็ตามกำลังของกิเลสแต่ก็ไม่มีใครมีอำนาจ บังคับบัญชาไม่ให้กิเลสเกิดขึ้น เพราะ กิเลส เป็น อนัตตา แต่เมื่อรู้ว่า สภาพธรรมใด ตรงข้ามกับกิเลส และรู้ทางที่จะขจัดขัดเกลากิเลส ก็ย่อมมีทางที่จะทำให้กิเลสเบาบางลงได้เพราะถึงแม้ว่าบุคคลใดจะถูกงูพิษกัด หรือเป็นโรคต่างๆ ก็ยังมียารักษาได้แต่ยาที่รักษาโรคกายได้นั้น ไม่สามารถจะรักษา "โรคใจ คือ กิเลส" ให้หายได้เลย
การขจัดขัดเกลากิเลสนั้น จะเป็นไปได้ก็ด้วยการเจริญกุศลทุกประการนั่นเองและการที่ผู้ใดจะเจริญกุศล เพื่อละคลายกิเลสประเภทใดนั้นผู้นั้น "ต้องเห็นโทษของกิเลสประเภทนั้น" เสียก่อน
พระผู้มีพระภาคทรงรู้แจ้งเหตุและผลของธรรมทั้งปวงพระองค์จึงทรงชี้โทษของกายทุจริต วจีทุจริต โดยประการต่างๆ เป็นอันมากเพื่อให้สาวกพิจารณาเห็นโทษของบาปกรรมและประพฤติปฏิบัติในทางที่จะละบาปกรรมและขจัดขัดเกลากิเลสยิ่งขึ้น
ทาน เป็นการอนุเคราะห์คนอื่นด้วยวัตถุ เป็นครั้งคราวส่วนศีลนั้น เป็นความประพฤติทางกาย ทางวาจาที่ต้องมีอยู่ตลอดเวลาในการใช้ชีวิตประจำวัน.
การให้ที่สมบูรณ์นั้น ผู้ให้ต้องละเว้นการเบียดเบียนคนอื่นด้วยในอังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต ทานวรรคที่ ๔ ปุญญาภิสันทสูตร ข้อ ๑๒๙ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า ศีล คือ การเว้นปาณาติบาต การเว้นอทินนาทานการเว้นกาเมสุมิจฉาจาร
การเว้นมุสาวาทการเว้นการเสพของมึนเมา อันเป็นที่ตั้งของความประมาทนั้นเป็น "มหาทาน" เป็นทานอันเลิศเพราะเหตุ ชื่อว่าความไม่มีภัย ความไม่มีเวรความไม่เบียดเบียนแก่สัตว์ทั้งหลายหาประมาณไม่ได้เลย
ฉะนั้น คนที่อบรมศีลจนเป็นนิสัย ผู้นั้นก็มี สีลุปนิสัยซึ่งจะเห็นได้ว่า ท่านเหล่านั้น มีกาย วาจา สะอาดไม่เบียดเบียนใครให้เดือดร้อนเลย