ชีวิตเราเกิดมาเพื่อสิ่งนี้เท่านั้นหรือ ?

 
พุทธรักษา
วันที่  28 พ.ย. 2551
หมายเลข  10545
อ่าน  3,017

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ข้อความบางตอนจากหนังสือ บุญญกิริยาวัตถุ ๑๐โดย อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ถ้าเราจะพูดกันถึงความสุข ที่เราปรารถนากันอยู่ทุกคนนั้นย่อมไม่พ้นจากอารมณ์ที่น่ายินดีทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจถ้าพิจารณานดูความเป็นมา ของชีวิตในวัยเด็กของบางคนก็จะเห็นว่าความสุขของเด็กคือการได้กิน ได้เที่ยว ได้เล่น ซึ่งก็ไม่พ้นไปจากความยินดีทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ ชีวิตต้องอดทน ต่อสู้ เพื่อความเป็นอยู่ โดยเฉพาะ ท่านที่เป็นหัวหน้าครอบครัว ย่อมจะมีภาระหนักทำให้เหน็ดเหนื่อย ทั้งกายทั้งใจ ผู้ใหญ่บางคน อาจรู้สึกว่า ถ้าได้กลับไปมีชีวิตอย่างวัยเด็กอีก คงดีไม่น้อย

ในช่วงชีวิตที่เป็นนักเรียน ก็คิดว่า เมื่อพ้นจากการเป็นนักเรียนแล้วคิดว่า ทำงานหาเงินใช้ได้เอง คงจะมีความสุข แต่พอได้ทำงานเข้าจริงๆ ก็ประสบปัญหาในเรื่องงาน เกิดท้อใจ อาจจะอยากกลับไปเป็นนักเรียนอีกเมื่อเริ่มทำงาน ก็พอใจกับเงินเดือนขั้นแรกที่ได้รับ ทำๆ ไป ก็เกิดไม่พอใจ อยากได้เงินเดือนเพิ่ม บางคนทำงานไปนานๆ ก็เบื่อ อยากเปลี่ยนงานใหม่บางคนที่เป็นข้าราชการก็อยากเป็นพ่อค้าเพราะคิดว่าทำการค้าคงจะดีกว่า บางคนที่เป็นพ่อค้าทำกิจการไป เกิดขาดทุนขึ้นมา ก็คิดว่า เป็นข้าราชการมีสวัสดิการ และเงินเดือนที่มั่นคง ไม่เสี่ยงกับการลงทุน ขาดทุน ล้มละลาย อย่างนี้เป็นต้น

ท่านเคยถามตัวเองบ้างหรือเปล่าว่า ชีวิตเราเกิดมาเพื่อสิ่งนี้เท่านั้นหรือ เกิดมาทำงาน กิน นอนหาความเพลิดเพลินจากรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ไปวันๆ แล้วก็ตายไป เท่านั้นเองหรือ ที่ชีวิตต้องการ

จากหลักธรรมคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมทำให้พุทธศาสนิกชนได้พิจารณาเห็นว่าชีวิตนั้นจะไม่สิ้นสุดลงเพียงแค่ความตายในภพนี้ชาตินี้เท่านั้นตราบใดที่มนุษย์ยังมีกิเลส ตราบนั้น ก็ต้องเวียนเกิดเวียนตายอยู่เรื่อยไปส่วนจะไปเกิดดี เกิดไม่ดี มีความสุขมากหรือ มีความทุกข์มากนั้นก็ขึ้นอยู่กับกรรม คือ การกระทำของแต่ละคน ในบรรดากรรม คือ การกระทำทั้งหลายนั้นกุศลกรรมเท่านั้น เป็นที่พึ่ง

พระผู้มีพระภาคได้แสดงกุศลกรรมทั้งหลายไว้ใน บุญญกิริยาวัตถุ ๑๐ ได้แก่

ทิฏฐุชุกรรม คือ การทำความเห็นให้ถูกต้องตรงตามสถาพธรรมที่เป็นจริง

ทาน คือ การสละวัตถุสิ่งของเพื่ออนุเคราะห์ผู้อื่น

ปัตติทาน คือ การอุทิศกุศลที่ตนได้กระทำแล้ว ให้ผู้อื่นได้อนุโมทนา

ปัตตานุโมทนา คือ การอนุโมทนายินดีในบุญกุศล ที่ผู้อื่นได้กระทำแล้ว

ศีล คือ การละเว้นทุจริต ทางกาย ทางวาจา

อปจายนะ คือ ความอ่อนน้อม ต่อผู้ที่ควรอ่อนน้อม

เวยยาวัจจะ คือ การช่วยเหลือผู้อื่น

ภาวนา คือ การเจริญกุศล ที่ขจัดขัดเกลากิเลสอย่างกลางและอย่างละเอียดคือ สมถภาวนา และ วิปัสสนาภาวนา

ธัมมสวนะ คือ การฟังธรรม

ธัมมเทศนา คือ การแสดงธรรม

ขออนุโมทนาขออุทิศกุศลแด่สรรพสัตว์


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
suwit02
วันที่ 28 พ.ย. 2551

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
wannee.s
วันที่ 29 พ.ย. 2551

ชีวิตเราเกิดมาเพื่อใช้ผลของกรรม และอีกส่วนหนึ่งเพื่อทำกรรมใหม่ที่ดีและไม่ดีปนกัน ตามการสั่งสมค่ะ แต่ชีวิตทีประเสริฐที่สุด คือการอยู่เพื่อทำความดีและสั่งสมปัญญาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ajarnkruo
วันที่ 29 พ.ย. 2551

ถ้ายังไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่ได้เจริญปัญญา ชีวิตของเราที่เกิดมาก็คงจะเป็นไปเพียงเพื่อการแสวงหา รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะแล้วก็หลงวนอยู่ในโลกของเรื่องราวที่เนื่องกับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เท่านั้นจริงๆ

...ขออนุโมทนาครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
torres
วันที่ 29 พ.ย. 2551

อนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
nida
วันที่ 29 พ.ย. 2551

ชีวิตเกิดมาเพื่อเป็นทาสของเวทนา (ความสุข) เพราะอวิชชาปิดบัง สภาพธรรมที่กำลังปรากฏแว๊บเดียว ไม่กลับมาอีกแต่ก็ยังหลงๆ กอดเอาไว้ไม่ยอมปล่อย เหมือนอยู่ในฝัน ไม่ยอมตื่นสักที ผู้ใดศึกษาธรรมผู้นั้นเป็นผู้ที่ตื่นแล้ว

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
พุทธรักษา
วันที่ 29 พ.ย. 2551

เข้าใจว่า ขณะที่ตื่น คือ ขณะที่สติปัฏฐานเกิดระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
pornpaon
วันที่ 30 พ.ย. 2551

เป็นอีกผู้หนึ่งเหมือนกัน ที่เกิดมาแล้วมีชีวิตเหมือนฝัน ฝันตลอด ไม่ว่างเว้น ทั้งกลางวันและกลางคืน เดี๋ยวฝันดี เดี๋ยวฝันร้าย เดี๋ยวฝันว่าดีใจ เดี๋ยวฝันว่าเสียใจตลอดชีวิตที่เกิดมาน่าจะยังไม่เคยตื่นเลย เพราะยังไม่เคย ระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง

ขออนุโมทนาคุณพุทธรักษา

ขออนุโมทนาในกุศลจิตและกุศลวิริยะของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ajarnkruo
วันที่ 30 พ.ย. 2551

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานทรงตรัสรู้ธรรมทั้งหลายด้วยพระองค์เองทรงแสดงธรรมที่นำสัตว์ทั้งหลายออกจากกิเลสทรงตรัสว่า ชีวิตที่เป็นอยู่ด้วยปัญญานั้นเป็นชีวิตที่ประเสริฐแต่ถ้าไม่มีปัญญา ชีวิตที่มีก็คงจะเพียงเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ (วัตถุกาม) แล้วก็ติดข้องอยู่กับความสุขที่ไม่เที่ยง แปรปรวนไป เพราะอาศัยสิ่งนี้แล้วก็พบกับทุกข์โทษภัยทั้งปวงเพราะพอกพูนความเยื่อใยในสิ่งนี้แล้วก็เกิดอีกเพราะตัณหาที่สะสมไว้จากการยึดถือผูกพันในสิ่งนี้

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
เซจาน้อย
วันที่ 22 ธ.ค. 2553

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
chatchai.k
วันที่ 19 ก.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ