สติปัฏฐานยาก...ตรงที่ความเข้าใจ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ท่านผู้ฟัง สำหรับปุถุชน เมื่อเกิดอกุศลวิบากจิตทางกาย และอกุศลจิตดับไปแล้วจิตจะเป็นกุศลด้วยเหตุอะไรบ้าง
ท่านอาจารย์ สติปัฏฐานเจ้าค่ะ
ท่านผู้ฟัง อย่างเดียวหรือ
ท่านอาจารย์ ควรจะเป็นอย่างนั้น แต่กุศลจิตอย่างอื่น ก็เป็นไปได้ เช่น คิดว่า เป็นธรรมดา วิบากจิตเป็นผลของกรรม
ท่านผู้ฟัง การระลึกรู้สภาพธรรมในชีวิตประจำวัน เช่นจับไมค์อยู่ก็รู้ว่าแข็งก็ระลึกรู้อยู่อย่างนี้ทุกวันคือพยายามเท่าที่จะทำได้ อันนี้จะเป็นการเจริญสติปัฏฐาน ๔ หรือเปล่า
ท่านอาจารย์ คือต้องทราบว่า อริยสัจจ์ ๔ นี้ลึกซึ้ง ถ้าไม่เข้าใจความลึกซึ้งของมรรคสัจจ์ คือ สติปัฏฐานสิ่งที่ทำอยู่ ก็ไม่ใช่สติปัฏฐานดูเหมือนง่ายนะคะ เพียงแต่พยายามไปรู้ตรงนั้น แล้วเข้าใจว่าเป็นสติปัฏฐานแต่ว่าอริยสัจจ์ ๔ นี้นะคะ
๒ อริยสัจจ์แรกลึกซึ้ง จึงเห็นยากเพราะว่า ทุกข์สัจจ์ คือสภาพธรรมที่เดี๋ยวนี้ ซึ่งเกิดแล้วดับอย่างรวดเร็วมากเราเพียงแต่เข้าใจว่า เสียงเกิดแล้วดับ คิดนึกเกิดแล้วดับ
แต่ว่าที่จะประจักษ์จริงๆ ในการเกิดดับนั้นลึกซึ้งมาก จึงเห็นยาก.สำหรับโลภะก็ลึกซึ้งนะคะ เพราะอยู่กับเรามานานแสนนานตลอดเวลาในขณะที่จิตไม่เป็นกุศล ขณะใดจิตไม่เป็นโทสะ ไม่เป็นโมหะ ก็เป็นโลภะ จนไม่รู้จักและไม่เห็นเลย
แม้แต่คำถามว่า ทำอย่างไร สติจึงจะเกิดนี้ ลองคิดดูซิคะว่า เป็นปัญญาหรือว่าโลภะ.?เพราะว่าไม่ใช่เรื่องทำ เพราะทำไม่ได้.ถ้ามีความเข้าใจที่มั่นคง ว่าเป็นอนัตตาไม่มีใครเป็นเจ้าของ
ไม่มีใครสามารถบังคับให้สติเกิดได้ แต่สติเกิดได้ เพราะเหตุปัจจัย สติ ไม่ใช่ของใคร แม้แต่ปัญญาก็ไม่ใช่ของใคร เมื่อสติ ไม่ใช่ของใคร แล้วใครที่ไหนจะทำอะไรได้ ในเมื่อเป็น จิตและเจตสิกแต่ละประเภท และเป็นสภาพธรรม ที่เกิดตามเหตุปัจจัย ฉะนั้น การศึกษาพระธรรมนี้
ต้องเข้าใจจริงๆ จนจรดเยื่อกระดูก ต้องเป็นความเข้าใจโดยตลอด เข้าใจโดยไม่ลืมนะคะ ถ้าเข้าใจความหมายเบื้องต้น ของอนัตตาก็ลืมความเข้าใจนี้ไม่ได้ เพราะสติ ก็เป็นอนัตตาด้วย
ฉะนั้น ความลึกซึ้งของมรรคมีองค์ ๘ คือสติปัฏฐานนั้น (ซึ่งโดยปกติ คือมรรคมีองค์ ๕ เว้นวิรตีเจตสิก ๓) ไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจได้ง่ายๆ ไม่ใช่เรื่องที่ไม่มีปัญญา แล้วจะไปนั่งปฏิบัติ หรือไปทำอะไรๆ เพื่อให้เป็นมรรคหรือการพยายามดูว่าจะสังเกตอย่างไร แต่ยังคงเป็นเราที่สังเกตอยู่ หนทางที่จะบรรลุ หนทางที่จะรู้แจ้งอริยสัจจ์นี้นะคะ มีหนทางเดียวและเป็นหนทางละ โดยตลอด เริ่มตั้งแต่ขั้นฟัง
แม้แต่การฟังในขณะนี้ ก็ต้องตั้งจิตไว้ชอบ ที่จะฟังเพื่อเข้าใจในสิ่งที่ฟังเพื่อละความเห็นผิด ความเข้าใจผิด ความไม่รู้ความจริงของสภาพธรรมเพราะพระธรรมที่ทรงแสดง ลึกซึ้งมาก
ถ้าไม่มีความเข้าใจจริงๆ ในมรรคมีองค์ ๘ แล้วจะทำ นั่นคือไม่ใช่ทางที่ถูก.เราเรียนมาแล้วเรื่อง รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์มีเราตรงไหนคะ ถ้ามีความเข้าใจในลักษณะของสภาพธรรมมากขึ้นมีเราตรงไหนที่จะพยายาม เพระเหตุว่าวิริยเจตสิกเกิดกับจิตทุกดวง เว้นอเหตุกจิต ๑๖ ดวงเท่านั้น ที่ไม่เกิดกับวิริยเจตสิกเพียงแต่นั่งแล้วคิด แค่คิดก็มีความพอใจ หรือ ความไม่พอใจ เกิดแล้ว ขณะนั้นก็มีวิริยเจตสิกเกิดร่วมด้วยแล้ว.
ฉะนั้น การศึกษาธรรมะ ก็เพื่อละคลายความเป็นตัวตน แม้ในขั้นฟังและละคลายความเป็นตัวตนมากยิ่งขึ้น ในขั้นการอบรมเจริญปัญญาการอบรมเจริญปัญญา เป็นความเข้าใจอีกระดับหนึ่ง ที่ละคลายความเป็นตัวตนว่าไม่ใช่เราที่จะดู ที่จะพยายาม แต่เป็นความเข้าใจ และ รู้เหตุปัจจัย ในพระไตรปิฎก มีข้อความว่า มีสติ หรือ หลงลืมสติ ก็รู้
เพราะเหตุว่า ที่จะเป็นสัมมาสติ สัมมาวายามะ สัมมาสังกัปปะ สัมมาสมาธิได้นั้นต้องมีสัมมาทิฏฐิ ต้องเกิดร่วมกับสัมมาทิฏฐิ
ฉะนั้น เวลาที่สติเกิด ต้องมีปัญญารู้ว่า เป็นสติที่ระลึก ไม่ใช่เราที่ระลึก.
กว่าจะดำเนินไปในหนทางนี้ พร้อมด้วยการละความไม่รู้แต่ละขั้นๆ อย่างละเอียด จะต้องเป็นความรู้ จะต้องเป็นความเข้าใจจริงๆ ว่าขณะไหนเป็นโลภะ ไม่ใช่หนทางที่ถูก ขณะไหนเป็นเรา ไม่ใช่หนทางที่ถูก
แต่ต้องเป็นการฟังที่เข้าใจว่า เป็นสภาพนามธรรม หรือ รูปธรรม เป็นสภาพธรรมจริงๆ ที่มีจริงๆ มีหลากหลายต่างกันมากมาย แต่ไม่ใช่เรา.
สนทนาธรรมที่วัดฝายหิน อ.เมือง จ.เชียงใหม่ โดย อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ พ.ศ. ๒๕๔๔
ขออนุโมทนา
ขออุทิศกุศลแด่สรรพสัตว์