สติปัฏฐาน ... ไม่ใช่รู้รูปเดียวหรือนามเดียว
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ผู้ฟัง ถ้าอย่างนั้น การที่จะเข้าใจจริงๆ ซาบซึ้งจริงๆ ในอริยสัจจ์ ๔ ได้ ก็ต่อเมื่อ เป็นปัญญาที่สมบูรณ์ ถึงขั้นนามรูปปริจเฉทญาณ ที่รู้ว่า อนัตตสัญญาคืออย่างไร
ท่านอาจารย์ ถูกต้องเจ้าค่ะ และจะต้องรู้ด้วยว่าปัญญานั้นมีหลายระดับ และรู้ว่า ความจริงที่ประจักษ์แล้วนั้น เป็นปัญญาระดับไหน
ผู้ฟัง แล้วถ้าปัญญาไปไกลกว่านั้น จนกระทั่งถึงมรรคจิต แล้วหลังจากนั้นล่ะ
ท่านอาจารย์ หลังจากนั้น ก็รู้ว่าเป็นสัญญาความจำ ที่ไม่ใช่ทิฏฐิวิปลาส เจ้าค่ะ หมายความว่า มีสัญญาจำสภาพธรรม ว่าเป็นสุข หรือ งาม แต่ไม่มีสัญญาที่จำว่าเที่ยง วิปลาสมี ๔ และปุถุชนก็มีครบ เพราะยังไม่มีปัญญาที่ระลึกรู้จนกระทั่งทำลายอัตตสัญญาได้.
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ได้อธิบายถึงการประจักษ์แจ้ง ว่าจะต้องเกิดทางมโนทวาร ทำไมจึงไม่สามารถประจักษ์แจ้ง ทางปัญจทวารด้วยละคะ
ท่านอาจารย์ ปัญจทวารไม่สามารถมีนามธรรมเป็นอารมณ์ได้
ผู้ฟัง ขณะจิตตรงปัญจทวาร ที่มีชวนวิถีจิตเกิด ก็สามารถมีสติปัฏฐานเกิดได้นี่ครับ
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีสติปัฏฐานที่อบรมเจริญแล้ว จะประจักษ์ลักษณะของรูปธรรมไหมคะ จิตขณะนั้นจะเป็นญาณสัมปยุตต์ไหมคะ ขณะนี้ ที่กำลังมีสีเป็นอารมณ์ทางตา ชวนวิถีจิต เป็นญาณสัมปยุตต์หรือเปล่า สติปัฏฐาน ไม่ใช่รู้รูปเดียวหรือนามเดียวเป็นช่วงระยะที่ปัญญาสมบูรณ์ ที่ประจักษ์แจ้ง ลักษณะของรูปธรรมและนามธรรม ถ้าเป็นปัญญาที่สมบูรณ์ ที่ประจักษ์แจ้ง จะประจักษ์แจ้งเฉพาะลักษณะของนามธรรมอย่างเดียวหรือลักษณะของรูปธรรมอย่างเดียวไม่ได้ เพราะแม้ว่าขณะนี้ ก็มีทั้งนามธรรมและรูปธรรมถ้าเป็นปัญญาระดับที่สมบูรณ์ จะต้องประจักษ์ทั้งนามธรรมและรูปธรรมด้วย รูปธรรมก็ต้องอาศัยทางปัญจทวาร จึงปรากฏได้และทางมโนทวาร ก็รู้รูปเดียวกับทางปัญจทวาร ที่เพิ่งดับไป มโนทวารรู้ได้ทุกรูป แต่ต้องมีรูปทีรู้ได้ทางปัญจทวารเกิดก่อนด้วย เพราะฉะนั้น ขณะที่ปัญญารู้ลักษณะของนามธรรม ซึ่งต่างจากลักษณะของรูปธรรมขณะนั้น การรู้ลักษณะของรูปธรรมทางปัญจทวารก็ต้องเป็นมหากุศลญาณสัมปยุตต์ด้วย
แยกไม่ออกหรอกค่ะ ทางปัญจทวารกับทางมโนทวาร ที่มีรูปเป็นอารมณ์เช่นในขณะนี้นะคะ ใครสามารถจะแยกได้ว่า ที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ตรงไหนเป็นปัญจทวาร ตรงไหนเป็นมโนทวาร
สนทนาธรรมที่วัดฝายหิน อ.เมือง จ.เชียงใหม่โดย อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ พ.ศ. ๒๕๔๔
ขออนุโมทนา
ขออุทิศกุศลแด่สรรพสัตว์
ผมไม่เข้าใจข้อความนี้ครับ โปรดอธิบาย "แยกไม่ออกหรอกค่ะ ทางปัญจทวารกับทางมโนทวาร ที่มีรูปเป็นอารมณ์ เช่น ในขณะนี้นะคะ ใครสามารถจะแยกได้ว่า ที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ตรงไหนเป็นปัญจทวาร ตรงไหนเป็นมโนทวาร"
ข้าพเจ้าเองก็ยังไม่เข้าใจแจ่มแจ้ง กับบางประโยคที่คัดลอกมา ได้แก่
๑. ขณะจิตตรงปัญจทวาร ที่มีชวนวิถีจิตเกิด ก็สามารถมีสติปัฏฐานเกิดได้นี่ครับ
(สติปัฏฐานที่เกิดตรงชวนวิถีจิตทางปัญจทวาร เป็นอย่างไรคะ)
๒. สติปัฏฐาน ไม่ใช่รู้รูปเดียวหรือนามเดียว
(ในที่นี้ หมายความว่าอะไรคะ)
๓. ถ้าเป็นปัญญาที่สมบูรณ์ ที่ประจักษ์แจ้ง จะประจักษ์แจ้งเฉพาะลักษณะของนามธรรมอย่างเดียวหรือลักษณะของรูปธรรมอย่างเดียวไม่ได้
(ไม่เข้าใจทั้งหมดเลยคะ)
๔. แยกไม่ออกหรอกค่ะ ทางปัญจทวารกับทางมโนทวาร ที่มีรูปเป็นอารมณ์เช่นในขณะนี้นะคะ ใครสามารถจะแยกได้ว่า ที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ ตรงไหนเป็นปัญจทวาร ตรงไหนเป็นมโนทวาร
(ไม่เข้าใจทั้งหมดเลยค่ะ)
ขอความกรุณาท่านที่เข้าใจข้อความนี้ กรุณาอธิบายให้เข้าใจด้วยนะคะ ได้ตรวจทานกับต้นฉบับแล้วหลายรอบ ไม่ผิดจากต้นฉบับค่ะ
เพียงแต่อ่านเจอ และเห็นว่า ท่านอาจารย์ได้อธิบายถึงความละเอียดของสติปัฏฐานน่าสนใจ แต่ยังไม่ค่อยเข้าใจบางประโยค ดังที่แสดงไว้ข้างต้นค่ะ
หากมีข้อผิดพลาดจากการคัดลอกประการใด ข้าพเจ้าขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะหากจะกรุณาอธิบายด้วยว่ามีตรงไหนที่คลาดเคลื่อนจากที่ท่านอาจารย์แสดงในกระทู้นี้และกระทู้ต่อๆ ไป จักขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ
ขออนุโมทนา
ขออนุญาตแสดงความเห็นถึงประเด็นที่ยกมาด้วยความเข้าใจส่วนตัว (คงไม่ใช่การตอบนะครับ) หากมีความเห็นที่คลาดเคลื่อนประการใด หรือหากท่านผู้รู้เห็นว่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ศึกษาธรรม ขอเชิญแก้ไขและแสดงความเห็นเพิ่มเติมครับ
๑. ปกติชวนวิถีทางปัญจทวารของปุถุชนจะเป็นไปในอกุศล ซึ่งมักเป็นโลภะอยู่เสมอ สติปัฏฐานจึงเกิดทีชวนวิถีทางปัญจทวารแทนอกุศลได้ (เข้าใจว่าในที่นี้ ท่านอาจารย์พยายามอธิบายว่าสติปัฏฐานทางปัญจทวารรู้เฉพาะรูปธรรม วิปัสนาญาณ คือการรู้แจ้งทั้งนาม-รูปจึงต้องเกิดทางมโนทวาร)
๒. สติปัฏฐานตรงข้อความนี้น่าจะหมายถึงวิปัสนาญาณ เพราะท่านอาจารย์อธิบายว่า "สติปัฏฐาน ไม่ใช่รู้รูปเดียวหรือนามเดียว เป็นช่วงระยะที่ปัญญาสมบูรณ์ ที่ประจักษ์แจ้ง ลักษณะของรูปธรรมและนามธรรม" ดังนั้น (นามรูปปริจเฉทญาณ) ต้องรู้ชัดทั้งนามและรูปทางมโนทวาร
๓. ปัญญาสมบูรณ์ที่ประจักษ์แจ้ง หมายถึง วิปัสนาญาณ ซึ่งรู้ชัดทั้งรูป-นาม (ไม่ใช่อย่างใดอย่างหนึ่ง)
๔. ดังที่ท่านอาจารย์ถามอยู่บ่อยๆ ว่า "ขณะนี้เห็นหรือคิด?" ซึ่งหากสติปัฏฐานไม่เกิดจะไม่เริ่มรู้เลย่ว่าเห็น (ทางปัญจทวาร) กับคิดถึงสิ่งที่เห็น (ทางมโนทวาร) ต่างกันอย่างไร และหากวิปัสนาญาณแรกยังไม่เกิดก็ยังไม่อาจรู้ชัดถึงความแตกต่างนี้ได้จริงๆ ครับ
ก่อนอื่น ขอขอบพระคุณ และ อนุโมทนา คำอธิบายจากคุณ K นะคะ
คำตอบ ๑-๓ พอจะเข้าใจขึ้นบ้างแล้วค่ะ
แต่ขออนุญาตเรียนถามอีกนิดนะคะว่าข้อ ๔ นั้น ท่านอาจารย์หมายความว่า แยกไม่ออก เพราะสติปัฏฐานไม่เกิด เพราะถ้าสติปัฏฐานเกิดต้องแยกออกว่าขณะเห็น กับ ขณะคิดนั้น ต่างขณะกันซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องอบรมนั่นเอง ถูกต้องไหมคะ
ขออนุโมทนาคุณพุทธรักษาเช่นกันครับ เพราะได้ติดตามกระทู้ที่มีประโยชน์เรื่อยมา แต่ส่วนใหญ่สะดวกที่จะเป็นผู้อ่านครับ
ขออนุญาตแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมดังนี้
การรู้ชัดความแตกต่างของการรู้อารมณ์ทางปัญจทวารกับทางมโนทวารนั้น ต้องเป็นวิปัสนาญาณครับ เพราะในชีวิตประจำวันนั้นเสมือนเป็นการรู้อารมณ์ทางปัญจทวารโดยที่มโนทวารไม่ปรากฎ (ปัญจทวารปิดบังมโนทวาร)
เมื่อเริ่มมีการอบรมเจริญสตินั้นเพียงแค่เริ่มรู้แต่ยังไม่รู้ชัด เพียงเริ่มรู้ความต่างกันของขณะที่สติเกิดกับขณะที่หลงลืมสติ ซึงต้องอาศัยการอบรมเจริญสติต่อไปด้วยความเพียร (สัมมัปปทาน) พร้อมด้วยองค์แห่งการตรัสรู้ (โพธิปักขิยธรรม) ประการอื่นๆ ต่อไป ความรู้ในลักษณะของสภาพธรรมจึงจะเจริญขึ้นจนกว่าจะเป็นวิปัสนาญาณ ไม่มีหนทางอื่นครับ
หากมีความเห็นส่วนใดคลาดเคลื่อนไปจากพระธรรม ขอท่านผู้รู้ได้โปรดแนะนำครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ
จากข้อความบางตอนของคุณ K
(หวังว่าคงไม่รำคาญนะคะ คือ ว่ายังมีความข้องใจน่ะคะ)
"เพราะในชีวิตประจำวันนั้นเสมือนเป็นการรู้อารมณ์ทางปัญจทวารโดยที่มโนทวารไม่ปรากฏ (ปัญจทวารปิดบังมโนทวาร) " ยังไม่แน่ใจว่าเราเข้าใจข้อความนี้ตรงกันหรือไม่น่ะค่ะ ถ้าไม่มีคำว่า เสมือน ข้าพเจ้าขอเห็นต่างดังนี้ค่ะ
เพราะเข้าใจว่าชีวิตประจำวันนั้น เราอยู่กับความคิด (ที่เป็นบัญญัติ) มากกว่าการระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงเช่น เห็น แล้วไม่รู้ว่ารูปารมณ์ มักจะเห็นแล้วเป็นบัญญัติหรือรูปปรากฏ แต่ไม่รู้ เพราะกำลังคิดเรื่องอื่นๆ ที่ไม่มีจริงเป็นต้น จึงเข้าใจว่า มโนทวารปิดบังปัญจทวาร ค่ะ
บางทีข้าพเจ้าอาจตีความการอธิบายของคุณผิดไปก็ได้ถ้าจะกรุณาอธิบายอีกสักนิด จักขอบพระคุณมากค่ะจะได้ทราบว่าตัวข้าพเจ้าเองตีความผิด หรือเข้าใจผิดอะไรหรือเปล่านะค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
วิทยากรของมูลนิธิฯได้อธิบายข้อสงสัยของคุณพุทธรักษาไว้แล้ว ขอเชิญคลิกอ่านครับ
ความหมายของหนังสือและคำพูดสื่อความหมายไม่ตรง อ่านมากก็จะปวดตาคิดมากก็ปวดหัว เหมือนบิดามารดาเป็นห่วงเด็กชายอุบาลี จักให้เรียนหนังสือ นิ้วมือก็จักระบม เรียนวิชาคำนวณก็จะหนักอก เรียนวิชาดูรูปภาพนัยน์ตาทั้งสองจักชอกช้ำครั้นให้ไปบวชก็ร้องหิวข้าวตอนค่ำ
ผมเป็นผู้ถาม เชิญท่านตอบเถิด รูป-นาม แยกกันอยู่แล้ว บุคคลประจักษ์ความต่างกันของ รูป-นาม ทางใด หรือ
ขณะที่รูปยังไม่ดับ หรือ ที่วิถีจิตใด หรือ ขณะที่รูปดับแล้ว ทางมโนทวาร หรือ ที่วิถีจิตใด หรือ ก็อาจารย์กล่าวแล้วว่า แยกไม่ออกว่าเป็นรูปทางปัญจทวาร หรือเป็นรูป ทางมโนทวาร เพราะรูปที่ชวนวิถีจิตทางปัญจทวาร ไม่กอปรด้วยญาณ หรือ ก็จิตที่สัมปยุตด้วยญาณเป็นกุศลจิตดวงที่หนึ่ง หรือ พึงสร้างบุญกุศลทานให้ถึงพร้อม หรือ ทางทิพย์ป้องกันไม่ให้ตกไปสู่อบายมีอยู่ บุคคลพึงสร้างกุศล ไม่พึงรังเกียจ กุศลขั้นทาน ขั้นศีล ขั้นสมาธิ หรือ
รูป-นาม แยกกันอยู่แล้ว บุคคลประจักษ์ความต่างกันของ รูป-นามทางใดหรือ
ทางมโนทวารค่ะ เพราะประจักษ์ได้ทั้งลักษณะของรูปและนาม แต่ทางปัญจทวารมีเพียงรูปปรมัตถ์ 7 รูปเท่านั้นที่เป็นอารมณ์
ขณะที่รูปยังไม่ดับ หรือ ที่วิถีจิตใด หรือ ขณะที่รูปดับแล้ว ทางมโนทวาร หรือ ที่วิถีจิตใด หรือ
รูปดับที่ปัญจทวารค่ะ หลังจากนั้นต้องมีภวังค์คั่น (หลายขณะ) ไม่ใช่ว่า มโนทวารวิถีจิตจะเกิดต่อจากปัญจทวารได้ทันที มโนทวารวิถีจิตวาระแรกมีอารมณ์เดียวกับทางปัญจทวารวิถี คือมีอารมณ์เป็นปรมัตถ์
สำหรับวาระต่อๆ ไป ถ้าสติปัฏฐานเกิดก็มีปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์ ถ้าไม่เกิดก็เป็นบัญญัติ ตามเรื่องราวที่คิดนึกค่ะ
ก็อาจารย์กล่าวแล้วว่า แยกไม่ออกว่าเป็นรูปทางปัญจทวาร หรือเป็นรูปทางมโนทวาร เพราะรูปที่ชวนวิถีจิตทางปัญจทวาร ไม่กอปรด้วยญาณหรือ
ขึ้นอยู่กับระดับของปัญญาค่ะ.......ปัญญาของปุถุชนยังไม่ละเอียดพอ ยังแยกไม่ออก แม้กระทั่งจิตเห็นคือขณะไหน จิตได้ยินคือขณะไหน ทั้งๆ ที่ห่างไกลกันหลายขณะนับ ไม่ถ้วน.....แต่ดูเหมือนว่าจะเห็นและได้ยินพร้อมๆ กันเลยใช่มั้ยค่ะ
สติปัฎฐานเกิดได้ทั้ง 6 ทวาร แต่วิปัสสนาญานเกิดทางมโนทวารเท่านั้นค่ะ
ก็จิตที่สัมปยุตด้วยญาณเป็นกุศลจิตดวงที่หนึ่ง หรือ พึงสร้างบุญกุศลทานให้ถึงพร้อม หรือ ทางทิพย์ป้องกันไม่ให้ตกไปสู่อบายมีอยู่ บุคคลพึงสร้างกุศล ไม่พึงรังเกียจกุศลขั้นทาน ขั้นศีล ขั้นสมาธิ หรือ
กุศลทุกขั้นเป็นสิ่งที่ควรเจริญ และควรเจริญด้วยความเห็นถูกค่ะ
ขณะนี้ยังไม่เข้าใจค่ะ ไม่เป็นไร ค่อยๆ ฟังไปบ่อยๆ เนืองๆ
ขออนุโมทนานะคะ
สาธุ
ขออนุญาตถามโดยอ้างอิงความเห็นที่ 11
ก็อาจารย์กล่าวแล้วว่า แยกไม่ออกว่าเป็นรูปทางปัญจทวาร หรือเป็นรูปทางมโนทวาร เพราะรูปที่ชวนวิถีจิตทางปัญจทวาร ไม่กอปรด้วยญาณหรือ ขึ้นอยู่กับระดับของปัญญาค่ะ ปัญญาของปุถุชนยังไม่ละเอียดพอ ยังแยกไม่ออก ปัญญาระดับใดครับ ที่สามารถ แยกออก
ขอบพระคุณครับ
ขอสนทนากับคุณ K ความคิดเห็นที่ 3 ค่ะ
ขอแสดงความคิดเห็นส่วนตัวเช่นกันน่ะค่ะ หากมีข้อผิดพลาด ขอท่านอาจารย์วิทยากรกรุณาช่วยชี้แนะด้วยค่ะ
1) สติปัฎฐานทางปัญจทวารรู้เฉพาะรูปธรรม และสติปัฎฐานที่เกิดทางมโนทวารนั้นรู้ทั้งรูปธรรม และ นามธรรมค่ะ ไม่จำเป็นต้องถึงขั้นวิปัสสนาญาณ ปัญญาขั้นสติปัฎฐานสามารถรู้ชัดทั้งรูปธรรม และ นามธรรม
2) "สติปัฎฐาน ไม่ใช่รู้รูปเดียวหรือนามเดียว" หมายความว่าปํญญาขั้นสติปัฎฐานเกิดนั้น ต้องรู้ในสภาพรูปธรรม และ สภาพนามธรรม ไม่ใช่รู้แค่รูปธรรมโดยไม่รู้นามธรรม หรือว่ารู้นามธรรมอย่างเดียวโดยไม่รู้รูปธรรม
3) ปัญญาสมบูรณ์ที่ประจักษ์แจ้งซึ่งรู้ชัดทั้งรูป-นาม (ไม่ใช่อย่างใดอย่างหนึ่ง) ก็ต้องเริ่มจากปัญญาขั้นสติปัฎฐานก่อน
4) แยกไม่ออกหรอกค่ะ ทางปัญจทวารกับทางมโนทวาร ที่มีรูปเป็นอารมณ์เช่นในขณะนี้นะคะ ใครสามารถจะแยกได้ว่า ที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ตรงไหนเป็นปัญจทวาร ตรงไหนเป็นมโนทวาร เป็นพระปัญญาของพระพุทธองค์เท่านั้น เพราะจิตเกิดดับแต่ละวาระเกิดดับสืบต่อรวดเร็วมาก ไม่สามารถแยกออกว่าขณะที่เห็นเดี๋ยวนี้ รูปารมณ์นั้นเกิดทางปัญจทวาร หรือ ทางมโนทวาร สิ่งที่ได้สนทนามานั้นทั้งคุณพุทธรักษา และ คุณ K นั้น มีประโยชน์มาก จึงขอร่วมสนทนาด้วยหากมีอะไรคลาดเคลื่อน ขอท่านผู้รู้ หรือ ท่านอาจารย์วิทยากรช่วยให้ความกระจ่างด้วยค่ะ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ
เรียนพี่เมตตา (ความคิดเห็นที่ 14) ครับ ผมขออนุญาตแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมดังนี้
ขณะที่วิปัสนาญาณเกิดก็คือสติปัฏฐาน แต่สติปัฏฐานขั้นต้นที่ยังไม่เป็นวิปัสนาญาณนั้นก็มีครับ
บางครั้งความเข้าใจที่ยังไม่ตรงกัน เกิดจากการเข้าใจความหมายของคำไม่ตรงกันครับ เช่นในกรณีนี้มีการใช้คำว่ารู้ รู้ชัด รู้แจ้ง ประจักษ์แจ้ง ฯลฯ ทั้งในส่วนคำบรรยายของท่านอาจารย์และการแสดงความเห็นของเรา
หลังจากผมได้กลับไปอ่านทบทวนความเข้าใจทั้งหมดอีกครั้ง ก็ยังคงเข้าใจว่าประเด็นหลักที่ถาม-ตอบกันในบทสนทนาที่ยกมานั้น น่าจะมุ่งถึงสติปัฏฐานในระดับที่เป็นวิปัสนาญาณครับ ซึ่งเป็นปัญญาที่ประจักษ์แจ้งนาม-รูปทางมโนทวารได้จริงๆ
ส่วนการรู้นาม-รูปของสติปัฏฐานที่ยังไม่ใช่วิปัสนาญาณนั้น เป็นการ"รู้" แต่ไม่ใช่การ"ประจักษ์แจ้ง" ครับ
ในอีกประเด็นหนึ่งเกี่ยวกับปัญญาของพระพุทธองค์นั้น ผมเข้าใจว่าพระธรรมที่ทรงแสดงนั้นได้ทรงเลือกสรรมาเฉพาะในส่วนที่เป็นประโยชน์ ซึ่งมีบางส่วนที่เกินวิสัยของผู้อื่น แต่บางส่วนก็อยู่ในวิสัยของสาวกได้แล้วแต่การสะสมของแต่ละบุคคล มิฉะนั้นจะไม่อาจมีใครบรรลุคุณธรรมเป็นพระอัครสาวก พระมหาสาวก หรือพระอริยสาวกได้เลยครับ
หากมีความคิดเห็นส่วนใดคลาดเคลื่อนจากพระธรรม ขอท่านผู้รู้โปรดเมตตาอนุเคราะห์
...ที่นี่น่ารืนรมย์จริงๆ ....
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ
ที่นี่น่ารื่นรมณ์จริงๆ ค่ะ
ที่นี่น่ารื่นรมย์
เรียนคุณK ค่ะ ความเห็นที่ 16
เป็นบุญของพวกเราที่ได้มาฟังพระธรรม และ พิจารณาไตร่ตรองพระธรรมกัน พระธรรมเป็นของยาก ละเอียดลึกซึ้งมากค่ะ พี่เห็นด้วยกับ คุณ K ที่กล่าวว่า
บางครั้งความเข้าใจที่ยังไม่ตรงกัน เกิดจากการเข้าใจความหมายของคำไม่ตรงกันครับ เช่นในกรณีนี้มีการใช้คำว่ารู้ รู้ชัด รู้แจ้ง ประจักษ์แจ้ง ฯลฯ ทั้งในส่วนคำบรรยายของท่านอาจารย์และการแสดงความเห็นของเรา
ขอขอบคุณ คุณ K เป็นอย่างมากค่ะ
หากมีความคิดเห็นส่วนใดคลาดเคลื่อนจากพระธรรม ขอท่านผู้รู้โปรดเมตตาอนุเคราะห์ด้วยค่ะ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ
หากปราศจากท่านอาจารย์สุจินต์ฯ มูลนิธิฯ บ้านธัมมะ และสหายธรรมทั้งหลาย โลกในยุคนี้คงปราศจากสถานที่อันน่ารื่นรมย์ ผมเองนั้นเป็นเพียงผู้เริ่มศึกษา
ขอความเมตตาอนุเคราะห์จากผู้รู้ทุกท่านครับ
ขออนุโมทนาครับ
หากปราศจากท่านอาจารย์สุจินต์ฯ มูลนิธิฯ บ้านธัมมะ และสหายธรรมทั้งหลาย โลกในยุคนี้คงปราศจากสถานที่อันน่ารื่นรมย์ ผมเองนั้นเป็นเพียงผู้เริ่มศึกษา
ขอความเมตตาอนุเคราะห์จากผู้รู้ทุกท่านครับ
พี่เมตตาก็เห็นด้วยกับคุณ Kค่ะ พี่เองก็เป็นเพียงผู้เริ่มศึกษาเช่นกัน ยิ่งศึกษาก็ยิ่งรู้ว่า ยังมีความไม่รู้อีกมาก ยังต้องฟังต้องพิจารณาต่อไปค่ะ
พี่ได้ไปอ่านเพิ่มเติม และอ่านกระทู้นี้ใหม่หลายรอบ คุณ K จะพูดถูกน่ะค่ะ สิ่งที่ท่านอาจารย์บรรยายถึงการประจักษ์แจ้ง ต้องเป็นปัญญาขั้นวิปัสสนาญาณค่ะ
ขอขอบพระคุณค่ะ
ขออนุโมทนาคุณ K ค่ะ และ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ
อ้างอิงจาก : ความคิดเห็นที่ 13 โดย suwit02
สาธุ
ขออนุญาตถามโดยอ้างอิงความเห็นที่ 11
ก็อาจารย์กล่าวแล้วว่า แยกไม่ออกว่าเป็นรูปทางปัญจทวาร หรือเป็นรูปทางมโนทวาร เพราะรูปที่ชวนวิถีจิตทางปัญจทวาร ไม่กอปรด้วยญาณหรือ
ขึ้นอยู่กับระดับของปัญญาค่ะ ปัญญาของปุถุชนยังไม่ละเอียดพอ ยังแยกไม่ออก ปัญญาระดับใดครับที่สามารถ แยกออก
ขอบพระคุณครับ
นามรูปปริจเฉทญาณ เป็นวิปัสสนาปัญญาที่ประจักษ์ลักษณะของนามและรูปโดยการแยกขาดจากกัน นั่นหมายความว่าปัญญาจะต้องประจักษ์ในลักษณะที่ต่างกันของปัญจทวารและมโนทวารด้วยค่ะ
กราบอนุโมทนา คุณพุทธรักษา คุณK คุณเมตตา คุณwerayut.s ที่สนทนาธรรมแล้วทำให้สหายธรรมอีกหลายท่านเกิดความเข้าใจถูกเห็นถูกครับ
สติปัฏฐาน คือ สติที่ระลึกรู้ลักษณะสภาพธรรมที่เป็นปรมัตถธรรม ปรมัตถธรรมที่ปรากฏทางหนึ่งทางใดใน 6 ทาง จึงไม่พ้นไปจากรูปธรรมและนามธรรม ดังนั้นสติปัฏฐานที่อบรมเจริญแล้ว ระลึกรู้ลักษณะที่เป็นรูปธรรมก็ได้ นามธรรมก็ได้ แล้วแต่ธรรมใดกำลังปรากฏทีละอย่าง
สติปัฏฐานเกิดกับชวนวิถีจิตทั้งทางปัญจทวารและทางมโนทวาร สติปัฏฐานเป็นสติเจตสิกที่เกิดกับมหากุศลญาณสัมปยุตต์ จิตประเภทนี้ทำกิจเดียว คือ ชวนกิจ โดยขณะนั้นต้องมีรูปธรรมหรือนามธรรมเป็นอารมณ์ เป็นที่ทราบกันแล้วว่าทางตา หู จมูกลิ้น และกาย (ปัญจทวาร) มีรูปธรรมเท่านั้นเป็นอารมณ์ ส่วนทางใจรู้ได้ทั้งรูปธรรมและนามธรรม
ปัญญามีหลายระดับ ก่อนที่วิปัสสนาญาณจะเกิดขึ้น ประจักษ์แจ้งธรรมตามความเป็นจริง ต้องอบรมเจริญสติปัฏฐานมาก่อน ดังนั้นสติปัฏฐานจึงเป็นปัจจัยให้เกิดวิปัสสนาญาณ และขณะที่สติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นรูปธรรมหรือนามธรรม ขณะนั้นก็มีมรรคองค์ 5 แล้ว และถ้ามีวิรตีเจตสิกเกิดร่วมด้วยเป็นมรรคองค์ 6 ซึ่งเกิดกับมหากุศลญาณสัมปยุตต์ (โลกียกุศลจิต) จนกว่าโลกุตตรกุศลจิตเกิด มรรคมีองค์ 8เกิดพร้อมกัน ขณะนั้นดับอนุสัยกิเลส มีพระนิพพานเป็นอารมณ์
จิตประเภทนี้ (สติ) ทำกิจเดียว คือ ชวนกิจ
ขออนุโมทนา ครับ
ผมเข้าใจว่า ปัญจทวาร มีนามธรรมด้วย คือ ปัญจวิญญาณ ชวนจิต และตทาลัมพณครับ และเป็นรูป-นามที่ชัดกว่าทางมโนทวารครับ
และมหากุศลญาณสัมปยุต สหรคตด้วยโสมนัส กอปรด้วย ขณะ ความพร้อมเพียงและจักร ๔ เกิดยากมากๆ ๆ โดยเฉพาะการเป็นผู้มีบุญอันทำไว้ก่อนแล้ว
อารมณ์ทางปัญจทวารต้องเป็นรูปธรรมเท่านั้น
แต่สภาพรู้อารมณ์เป็นนาม แต่นามไม่ได้เป็นอารมณ์ของวิถีจิตทางปัญจทวารสำหรับวิถีจิตทางมโนทวารรู้ได้ทุกอย่าง คือทั้งรูป นาม และบัญญัติ
ธัมมารมณ์ หมายถึง อารมณ์ที่รู้ได้เฉพาะทางใจ มีทั้งรูป นาม และบัญญัติ ครับ
สวัสดีครับคุณ study การประจักษ์ความต่างกันของ รูป-นาม นั้น ต้องมีนามเป็นอารมณ์ด้วยหรือครับ?
การประจักษ์ความต่างกันของ รูป-นาม เป็นปัญญาระดับวิปัสสนาญาณ และวิปัสสนาญาณต้องเกิดทางมโนทวารวิถีเท่านั้น และมโนทวารวิถีรู้ทั้งรูป และนาม แต่ต่างขณะต่างวาระ ครับ
ถ้าชวนวิถีทางปัญจทวารเป็นกุศล ขณะนั้นเป็นประโยชน์เพราะเป็นปัจจัยให้ชวนวิถีแรกทางใจเป็นกุศลด้วย เมื่อดับไปแล้วก็สะสมไว้ในจิต เป็นเหตุปัจจัยให้กุศลจิตวาระต่อๆ ไปเกิดได้ ชวนวิถีที่เป็นกุศลเป็นชวนวิถีที่มีประโยชน์
ถ้าชวนวิถีทางปัญจทวารเป็นกุศลที่มีปัญญาเกิดร่วมด้วย ขณะนั้นเป็นประโยชน์ เพราะเป็นปัจจัยให้ชวนวิถีแรกทางใจเป็นกุศลที่มีปัญญาเกิดร่วมด้วย ขณะนั้นรู้รูปธรรมตามเป็นจริง เป็นการสะสมความเข้าใจถูก เห็นถูกในรูปธรรมที่ปรากฏว่าเป็นธรรม ไม่ใช่สัตว์ตัวตน บุคคล เมื่อดับแล้วก็สะสมไว้ในจิต เป็นเหตุปัจจัยให้กุศลที่มีปัญญาเกิดร่วมด้วยเกิดได้ในวาระต่อๆ ไป และเป็นเหตุปัจจัยให้กุศลทุกๆ ประการเจริญขึ้นได้ ชวนวิถีที่เป็นกุศลที่มีปัญญาเกิดร่วมด้วยเป็นชวนวิถีที่มีประโยชน์
ถ้าชวนวิถีทางปัญจทวารเป็นอกุศล ขณะนั้นไม่เป็นประโยชน์ เป็นโทษ และเป็นปัจจัยให้ชวนวิถีแรกทางใจเป็นอกุศลด้วย เมื่อดับแล้วก็สะสมไว้ในจิต เป็นเหตุปัจจัยให้อกุศลวาระต่อๆ ไปเกิดได้อีก ชวนวิถีที่เป็นอกุศลโดยตัวเองแล้วไม่มีประโยชน์ แต่จะเป็นชวนวิถีที่มีประโยชน์ได้ก็ต่อเมื่อ วาระต่อไป สติปัฏฐานเกิด ระลึกรู้ว่า "อกุศลที่เกิดตามเหตุปัจจัย" นั้นเป็นธรรมะ ไม่ใช่เรา ครับ
อ้างอิงจาก : ความคิดเห็นที่ 37 โดย จำแนกไว้ดีจ๊ะรู้รูปที่ดับไปแล้วหรือ ชวนวิถีทางปัญจทวารไม่มีประโยชน์หรือ
ปัญจทวารวิถีมีรูปเป็นอารมณ์ รูปนั้นต้องยังไม่ดับค่ะ ถ้ารูปดับไปก่อนที่ชวนวิถีจิตจะเกิด มโนทวารจะรับอารมณ์นั้นต่อไม่ได้
ประโยชน์ของชวนวิถีทางปัญจทวาร คือ เป็นทางให้จิตเกิดรับรู้รูปที่เป็นอารมณ์ (โดยอาเสวนปัจจัย) ถ้าชวนวิถีทางปัญจทวารไม่เกิด โลกทางตา หู จมูก ลิ้น กาย....ก็ปรากฎไม่ได้
การเจริญสติปัฏฐานจะขาดปัญจทวารไม่ได้เลยค่ะ เพราะการอบรมเจริญปัญญาต้องเป็นการรู้ชัดทั้งรูปและนาม (-_+)
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ขณะที่รู้ความจริงกับขณะที่คิดนึกเป็นเรื่องราวก็ต่างกัน ดังนั้น ขณะนี้ กำลังมีสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเกิดขึ้นและดับไป ขณะที่สติเกิดระลึกรู้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ขณะนั้นไม่ได้คิดนึกเลยว่าเป็นปัญจทวารหรือมโนทวาร แต่ขณะนั้นก็รู้ความจริงของสภาพธรรมแล้วว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา จึงควรมั่นคงว่าการรู้ความจริงไม่ใช่คิดนึกเพราะความจริงกำลังปรากฏอยู่แล้วในขณะนี้ครับ
ขออนุโมทนา
อุทิศกุศลใหเสรรพสัตว์