ไม่ใช่เราเป็นไฉน ?

 
จำแนกไว้ดีจ๊ะ
วันที่  1 ธ.ค. 2551
หมายเลข  10570
อ่าน  2,003

๑.ไม่ใช่เราเป็นไฉน ทำไมย้ำนักว่าต้องไม่ใช่เรา?

๒. บุคคล สัตว์ สิ่งของ ที่ปรากฏ ถือว่าเป็นเราไหม?

๓. กรุณายกตัวอย่างสภาพที่ไม่ใช่เรา และสภาพที่เป็นเราด้วยครับ?


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
prachern.s
วันที่ 1 ธ.ค. 2551

พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้ว่าสิ่งทั้งปวงไม่ใช่เราผู้ที่มิได้สดับพระธรรม ย่อมยึดถือ สัตว์ บุคคล สิ่งของ ว่าเป็นเรา เป็นของเราสิ่งที่เกิดเพราะปัจจัย เป็นขันธ์ เป็นธาตุ เป็นอายตนะ เป็นปรมัตถธรรม ไม่ใช่เราแต่ปุถุชนทั้งหลายยึดถือ สำคัญผิดว่า สภาพธรรมเหล่านี้ เป็นเรา เป็นของเรา และว่าเป็นตัวตนของเรา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 1 ธ.ค. 2551

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้และทรงแสดงนั้น เป็นสิ่งที่มีจริงทั้งหมด ไม่ว่าจะแสดงโดยนัยของขันธ์ ธาตุ อายตนะ ปรมัตถธรรม เป็นต้น ก็เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเป็นจริงของสภาพธรรมว่า ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา และที่สำคัญ ธรรมไม่พ้นไปจากชีวิตประจำวัน มีธรรมอยู่ตลอดเวลา อยู่กับธรรมตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับไป ไม่ว่าจะเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก โกรธ ไม่พอใจ ขุ่นเคื่องใจ ติดข้องยินดี พอใจ ริษยา หรือ ขณะที่มีใจดี เกื้อกูลอนุเคราะห์บุคคลอื่น เป็นต้น ล้วนเป็นธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป เพียงชั่วขณะเท่านั้นเอง และไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ไม่มีใครทำเห็นให้เกิดขึ้นได้ ไม่มีใครทำโกรธให้เกิดขึ้นได้ แต่เกิดแล้วมีแล้วเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป หาความเป็นเราในสภาพธรรมแต่ละอย่างๆ ไม่ได้เลย เมื่อไม่ได้ศึกษาพระธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ย่อมไม่เข้าใจ จึงมีความยึดถือว่า เป็นเราที่เห็น เป็นเราที่ได้ยิน เป็นเราที่โกรธ เป็นเราที่ติดข้องยินดีพอใจ เป็นต้น ดังนั้น จึงต้องเริ่มด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องว่า ธรรมเป็นธรรม ไม่ใช่เรา และฟัง ศึกษา บ่อยๆ เนืองๆ ความรู้ความเข้าใจ ก็จะค่อยๆ เจริญขึ้นไปตามลำดับ ครับ

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
เมตตา
วันที่ 1 ธ.ค. 2551

เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่......

ไม่มีเราแล้วมีอะไร?

ไม่มีเรา

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
wannee.s
วันที่ 3 ธ.ค. 2551

สภาพธรรมที่ยึดถือว่า เป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขานั้นเป็นเพียงนามธรรมและรูปธรรม ซึ่งสมมติบัญญัติเรียกชื่อตามอาการที่ปรากฏต่างๆ กันเท่านั้น แท้จริงแล้ว ก็เป็นสภาพธรรมแต่ละประเภทเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับเกิดดับสืบต่อกันเรื่อยๆ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
suwit02
วันที่ 3 ธ.ค. 2551

เรียนท่านทั้งหลาย

ปัญหาข้อ ๑. ของกระทู้นี้ ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนเลยครับ

ทำไมย้ำนักว่าต้องไม่ใช่เรา?

การที่มีเรา เป็นเรา ก่อให้เกิดทุกข์ ให้โทษ อย่างไรบ้าง

ขอบพระคุณครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ajarnkruo
วันที่ 3 ธ.ค. 2551

เพราะเห็นผิด จำผิด คิดผิดว่ามีเราโดยที่ไม่ต้องย้ำจึงต้องย้ำๆ ซ้ำๆ ว่าความจริงมีแต่ธรรม ไม่มีเราหลงยึดถือสิ่งที่ไม่เที่ยง แตกดับ ไม่อยู่ในอำนาจว่าเป็นเรา จะเป็นสุขจริงๆ ได้อย่างไร ในเมื่อสิ่งนั้นเกิดแล้วก็แปรปรวนไปเป็นอย่างอื่นมีแค่เพียงชั่วขณะแล้วก็ไปสู่ความดับ สู่ความหามีไม่อย่างรวดเร็ว จะหาสิ่งใดที่ดับไปแล้วได้จากที่ไหน ไม่มีแม้แต่จะหวนกลับคืนมาซ้ำที่เดิม แบบเดิมอีก แต่อ่านจบก็ยังจำไว้อยู่นั่นแหละว่าเป็นเรา เพราะหลงลืมสติจนกว่าจะค่อยๆ มั่นคงขึ้นว่า ไม่มีเรา มีแต่ธรรมด้วยการศึกษาพระธรรมต่อไปนะครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
suwit02
วันที่ 3 ธ.ค. 2551

สาธุ

ผมเคยเบื่อ แบบฝึกหัด ที่ครูสั่งให้ทำเป็นการบ้าน เคยโกรธครูที่สั่งให้ทำการบ้านมากมาย (ทำไปบ่นไป) ทำไมเราต้องทำอะไรซ้ำๆ ซากๆ ด้วยนะ เบื่อมากเมื่อได้รับประโยชน์จากการศึกษา เห็นประจักษ์แล้ว ผมจึงรักและขอบพระคุณ คุณครู ที่คอยสั่งสอน คอยสั่งการบ้าน (ที่คุณครูต้องตรวจแก้ มากมาย) ในเวบนี้ มีคำกล่าวซ้ำๆ มากมาย ไม่มีเรา ไม่มีอยู่โดยปรมัตถ์ อนัตตา จิรกาลภาวนา ธรรมไม่พ้นไปจากชีวิตประจำวัน สติจำปรารถนาในที่ทั้งปวง ตั้งจิตไว้ชอบ ฯลฯ

เบื่อ แต่ว่า มีประโยชน์ และ ในเมื่อปกติผม ก็หลงลืมสติ การที่มีผู้คอยพร่ำสอน พร่ำตักเตือน ให้ใส่ใจในสารธรรม จึงจำเป็นอย่างยิ่ง

หนทางนี้เป็นที่ไปอันเอก เพื่อ ความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์

เพื่อล่วงความโศกและปริเทวะ เพื่อความดับสูญ แห่งทุกข์และโทมนัส

เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน

หนทางนี้ คือ สติปัฏฐาน ๔ ประการ

ขอขอบพระคุณครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
พุทธรักษา
วันที่ 4 ธ.ค. 2551

เข้าใจว่าเพื่อป้องกันไม่ให้หลงทาง ว่าจริงๆ แล้วศึกษาพระธรรมเพื่ออะไร ที่ต้องย้ำบ่อยๆ เพื่อเตือนไม่ให้ลืมสาระสำคัญของการศึกษาพระธรรม อีกคำหนึ่งที่ลืมไม่ได้ และท่านอาจารย์ก็ย้ำ เสมอๆ เช่นกันคือ "การศึกษาพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ทั้งหมด เป็นไปเพื่อ การละ.. "เริ่มจาก "การละความไม่รู้" ด้วยการฟังสิ่งที่ไม่เคยฟังจนกว่าจะประจักษ์ไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อนัตตา คือ ไม่มีเรา ตรงข้ามกับ อัตตา.
ดังข้อความจาก คัมภีร์เนตติปกรณ์ แปลโดย ท่านอาจารย์สมพร ศรีวราทิตย์หน้าที่ ๔๓ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเทศนาว่า
" เราย่อมไม่เห็นความสำคัญว่า เรามีอยู่ คือเห็นขันธปัญจกะปราศจากอัตตาได้แก่ ไม่เห็นขันธปัญจกะนี้ ว่าเป็นเรา ดังนี้ก็เมื่อมีความไม่เห็นอย่างนั้น ความสงสัยก็จะเกิดขึ้นว่าอะไรเป็นของเรา เราเป็นอย่างไร จักครอบงำจิตสงสัยตั้งอยู่ "ดังนี้ ย่อมไม่ควร

เทศนาว่า
" วิจิกิจฉา ของบุคคลผู้ไม่เห็นขันธปัญจกะว่า เป็นของเราย่อมถึงการละความสงสัย คือความสงสัยย่อมตั้งอยู่ไม่ได้เพราะวิจิกิจฉาเป็นธรรมตั้งอยู่ในฐานเดียวกับการละ. " ดังนี้ ย่อมควร

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
suwit02
วันที่ 4 ธ.ค. 2551

ความอดทน ๑

ความเป็นผู้ว่าง่าย ๑

การได้เห็นสมณะทั้งหลาย ๑

การสนทนาธรรมตามกาล ๑

นี้เป็นอุดมมงคล.

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
akrapat
วันที่ 4 ธ.ค. 2551

ไม่ใช่เรา ขณะที่สติปํฏฐานเกิด ถ้าขณะใดสติปัฏฐานไม่เกิด ก็ยังเป็นเราที่คิดว่า ไม่ใช่เรา

อนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
ไตรสรณคมน์
วันที่ 5 ธ.ค. 2551

ทำไมย้ำนักว่าต้องไม่ใช่เรา?

อืม....แล้วจะให้ย้ำอะไรดีล่ะค่ะ....ในเมื่อความจริงเป็นเช่นนั้น

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
suwit02
วันที่ 5 ธ.ค. 2551

จริงครับ แต่ ...............

เรื่องสวนกระแสกิเลส มันยากเหมือนเข็นครกขึ้นภูเขาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
จำแนกไว้ดีจ๊ะ
วันที่ 5 ธ.ค. 2551

บุคคลยึดถือว่าเป็นเรา ด้วยลักษณะอย่างนี้หรือ บัญญัติ ยึดรูปนามเป็นตน ไม่ใช่เรา คิดนึกเป็นบุคคล สัตว์ สิ่งของ ไม่ใช่เรา รูป (อารมณ์ทางปัญจทวาร อารมณ์ทางมโนวิญญาณ ธัมมารมณ์) ไม่ใช่เรา นามไม่ใช่เรามีอย่างอื่นอีก หรือ?

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
ajarnkruo
วันที่ 5 ธ.ค. 2551

ไม่ใช่เราทุกอย่างนั่นแหละครับแต่ที่จะรู้จริงๆ คือ สติปัฏฐานเกิดระลึกรู้สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ที่เราสงสัยและสับสน เพราะว่าความเข้าใจยังไม่เพียงพอรวมทั้งการยึดถือก็มีมาก มีมานาน และเหนียวแน่นที่สุดยิ่งแตกประเด็นเป็นเรื่องราวไปไกลเท่าไรก็ยิ่งจะไม่ได้ช่วยให้รู้จริงๆ ว่าไม่ใช่เราอย่างไรเพราะฉะนั้น ก็อย่าเพิ่งไปไกลเลยครับเพียงเริ่มเจริญความเข้าใจให้มากขึ้นๆ ในพระธรรมที่ได้ยินได้ฟังและไม่ลืมที่จะพิจารณาสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ โดยไม่ข้ามครับ

... เชิญคลิกอ่าน ...

กรุณาอธิบาย เป็นเรา ด้วยตัณหา ทิฏฐิ มานะ

เพราะมีธรรม...จึงยึดถือว่าเป็นเรา !

เพราะไม่รู้จึงเป็นเราเห็น

ทางเดียวที่จะละการยึดถือว่าเป็นเรา คือ การฟังพระธรรม

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
จำแนกไว้ดีจ๊ะ
วันที่ 8 ธ.ค. 2551

ถ้าอย่างนั้นก็คงเป็นเพราะว่า เห็นว่าเป็นเราทุกอย่างนะซิ จึงย้ำนักว่า ไม่เป็นเราทุกอย่างนั่นแหละ ก็เพราะว่าพอใจที่จะเห็นว่าเป็นเราอยู่ จึงไม่อยากจะเห็นว่าไม่เป็นเรา แม้ในเพียงรูป แม้ในเพียงนาม แม้ในทั้งรูปและนามที่อิงอาศัยกัน และแม้ในเพียงนึกคิด

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
pornpaon
วันที่ 8 ธ.ค. 2551

การสนทนาธรรม อ่านแล้วชื่นใจ

(นั่นไง...เป็นเราอีกแล้ว)

ขออนุโมทนาในกุศลจิตและกุศลวิริยะทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
choonj
วันที่ 8 ธ.ค. 2551

พูดก็พูดไป อ่านก็อ่านไป รู้ก็รู้ไป เข้าใจก็เข้าใจไป ย้ำก็ย้ำไป ว่าไม่ใช่เรา ถามจริงๆ เถอะทุกคนเวลานี้เป็นเราหรือเปล่า ส่วนตัวผมเป็นเราอยู่ รู้ทั้งรู้ความจริงไม่มีเราแต่ก็เป็นเราทุกทีหนีไม่พ้น หวังว่าจะมีวันหนึ่งจนกว่าจะไม่มีเรา ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
จำแนกไว้ดีจ๊ะ
วันที่ 11 ธ.ค. 2551

เห็นรูปเป็นตน เปรียบเหมือนเห็นว่าเปลวไฟอันใดสีก็อันนั้น สีไฟอันใดเปลวก็อันนั้น

ถามว่า ในที่นี้ เปลวไฟเปรียบเป็นอะไร? สีไฟเปรียบเป็นอะไร? หรือเห็นตนมีรูป ความว่า บุคคลถือว่า อรูป (นาม) เป็นตน จึงเห็นตนนั้นมีรูป เหมือนเห็นต้นไม้มีเงาฉะนั้น

ถามว่า ในที่นี้ ต้นไม้เปรียบเป็นอะไร? เงาไม้เปรียบเป็นอะไร? เห็นรูปในตน ความว่า บุคคลถืออรูป (นาม) นั่นแหละว่าเป็นตน ย่อมเห็นรูปในตนเหมือนกลิ่นมีในดอกไม้ฉะนั้น.

ถามว่า ในที่นี้ กลิ่นเปรียบเป็นอะไร? ดอกไม้เปรียบเป็นอะไร?

เห็นตนในรูป ความว่า บุคคลถือ อรูปนั่นแหละเป็นตน ย่อมเห็นตนในรูป เหมือนเห็นแก้วมณีในขวดฉะนั้น

ถามว่า ในที่นี้ แก้วมณีเปรียบเป็นอะไร? ขวดเปรียบเป็นอะไร?

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ