โลกียปัญญา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ท่านผู้ฟัง อีกคำหนึ่งที่อยากสนทนา คือคำว่า โลกียปัญญา โลกียปัญญาหมายความว่าอย่างไร
ท่านอาจารย์ โลกะ หรือ โลก หมายถึงสภาพธรรมที่แตกดับ ฉะนั้น โลกียปัญญา คือปัญญาที่รู้ความจริงคือ รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่แตกดับ รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เกิดขึ้นแล้วดับไปเพราะฉะนั้น ปัญญาระดับไหนก็ตาม ที่ไม่ประจักษ์โลกุตตรธรรม (นิพพาน) เป็นโลกียปัญญา (ปัญญาเจตสิก) โลกียปัญญา หมายถึงปัญญาที่ประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรม ซึ่งไม่ใช่นิพพาน เพราะนิพพาน ไม่เกิดไม่ดับ ฉะนั้น โลกียปัญญา ซึ่งเป็นปัญญาเจตสิก (เจตสิกปรมัตถ์) ต้องเป็นเจตสิกที่เห็นถูกเข้าใจถูกในสภาพธรรมตามลำดับตั้งแต่ขั้นการฟัง ปัญญาขั้นฟัง เป็น มหากุศลจิตญาณสัมปยุตต์ แต่ไม่ใช่ระดับมรรคมีองค์ ๘ และไม่ใช่ระดับวิปัสสนาญาณ ไม่ใช่ปัญญาระดับที่มีนิพพานเป็นอารมณ์ เมื่อใดที่มีนิพพานเป็นอารมณ์ เมื่อนั้นเป็น โลกุตตรปัญญา
ท่านผู้ฟัง โลกียปัญญา คือสติปัฏฐานใช่ไหม
ท่านอาจารย์ ปัญญาที่มีความเห็นถูกต้องในลักษณะของสภาพธรรมะ มีความเข้าใจถูกขณะฟังนี้ ถ้ารู้ว่าไม่มีเรา เป็นจิต เจตสิก รูป ก็เป็นความเห็นถูก
สนทนาธรรมที่วัดฝายหิน อ.เมือง จ เชียงใหม่
โดย อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ขออนุโมทนา
ขอเรียนถามดังนี้ค่ะ
ปัญญาขั้นฟัง เป็น มหากุศลจิตญาณสัมปยุตต์ แต่ไม่ใช่ระดับมรรคมีองค์ ๘ เข้าใจว่าปัญญาขั้นฟัง ไม่ใช่ปัญญาระดับมรรคมีองค์ ๘ เพราะสติปัฏฐานยังไม่เกิด แต่ยังไม่เข้าใจว่า เป็นมหากุศลจิตญาณสัมปยุตต์ อย่างไรค่ะ
ขณะฟังนี้ ถ้ารู้ว่าไม่มีเรา เป็นจิต เจตสิก รูป ก็เป็นความเห็นถูก
ข้อความข้างต้น ท่านอาจารย์หมายถึง ขณะฟัง แล้วมีสติปัฏฐานเกิดใช่ไหมคะ ขณะที่ฟังแล้ว เข้าใจเรื่องราวของธรรมะที่ได้ฟังเข้าใจว่าไม่ได้มีความเข้าใจผิดเรื่องราวของธรรมะ แต่ยังเป็นเราที่กำลังฟัง ขณะนั้นไม่เรียกว่าโลกียปัญญา ถูกต้องไหมคะ
ขณะที่ฟังแล้วเข้าใจ เป็นปัญญาขั้นการฟัง จิตมหากุศลจิตญาณสัมปยุตต์ มหากุศลจิตญาณสัมปยุตต์เป็นโลกียจิต ปัญญาที่เกิดร่วมด้วยเป็นโลกียปัญญา ระดับมรรคมีองค์ ๘ เป็นโลกุตรปัญญา เพราะเกิดร่วมกับโลกุตตรจิต
ขณะที่ฟังแล้วเข้าใจเรื่องของสภาพธรรมว่าเป็นธรรมะ ไม่มีเรา เป็นความเห็นถูกขั้นฟัง ไม่ใช่สติปัฏฐาน ถ้าเป็นสติปัฏฐานหมายถึงสติระลึกรู้ในลักษณะของสภาพธรรม ซึ่งอาจจะเป็นขณะต่อไปก็ได้สำหรับผู้ที่สะสมมา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ปัญญา เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นความเข้าใจถูกเห็นถูก เกิดขึ้นเป็นไปตามการสะสม ไม่มีใครสามารถบังคับให้ปัญญาเกิดขึ้นได้ ปัญญาจะเจริญขึ้นในทันทีทันใดโดยไม่ฟัง ไม่ศึกษาเลยนั้น ก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ดังนั้น การที่ปัญญาจะเจริญขึ้นได้ต้องอาศัยการฟังพระธรรม ฟังเรื่องของสภาพธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริง บ่อยๆ เนืองๆ โดยที่ไม่ขาดการฟัง มีความมั่นคงในความเป็นจริงของสภาพธรรมว่า ธรรม เป็นธรรม ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน
ขณะที่มีความเข้าใจในสิ่งที่กำลังฟังขณะนั้นเป็นจิต ที่ประกอบด้วยปัญญา เพราะเป็นความเข้าใจถูกในระดับขั้นฟัง เมื่อได้เหตุได้ปัจจัยที่สติจะเกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง สติก็เกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้นได้ ซึ่งเป็นอนัตตาไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย จึงต้องเริ่มด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องว่า ธรรม คือ อะไร อยู่ที่ไหน ซึ่งแท้จริงแล้ว ธรรม ไม่พ้นไปจากชีวิตประจำวันเลยเพราะเป็นสิ่งที่มีจริง จึงควรค่าแก่การศึกษาเป็นอย่างยิ่ง
ปัญญาที่เกิดร่วมกับโลกียจิต ยังไม่ถึงระดับขั้นที่จะดับกิเลสได้อย่างเด็ดขาด เป็นโลกียปัญญา เมื่อปัญญาเจริญขึ้น คมกล้าขึ้น จนกระทั่งเกิดขึ้นพร้อมกับมรรคองค์อื่นๆ ทำกิจประหารกิเลส ดับกิเลสตามลำดับมรรค (โสตาปัตติมรรค สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตตมรรค) และมีนิพพานเป็นอารมณ์ ขณะนั้นเป็น โลกุตตรปัญญา เป็นปัญญาที่เกิดร่วมกับโลกุตตรจิต ครับ
ขอเชิญคลิกอ่านเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องยิ่งขึ้น ได้ที่หัวข้อต่อไปนี้ครับ
ไม่รู้รูป-นาม ไม่ใช่โลกียปัญญา
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอร่วมแสดงความคิดเห็นบ้างนะคะ
ปัญญาขั้นฟัง เป็น มหากุศลจิตญาณสัมปยุตต์ แต่ไม่ใช่ระดับมรรคมีองค์ ๘ เข้าใจว่าปัญญาขั้นฟัง ไม่ใช่ปัญญาระดับมรรคมีองค์ ๘ เพราะสติปัฏฐานยังไม่เกิด แต่ยังไม่เข้าใจว่า เป็นมหากุศลจิตญาณสัมปยุตต์ อย่างไรค่ะ
ขณะที่ฟังแล้วเข้าใจ ขณะนั้นมีปัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วย (ความเข้าใจคือปัญญา) ซึ่งเรียกว่า มหากุศลจิตญาณสัมปยุตต์ ขณะที่สติปัฏฐานเกิด ขณะนั้นประกอบด้วยมรรคมีองค์ ๕ (หรือองค์ ๖ ถ้าประกอบด้วยวิรตี เช่น มีการวิรัติในขณะนั้น) เพราะมรรคมีองค์ ๘ จะเกิดกับโลกุตตรจิตเท่านั้นค่ะ
ขณะฟังนี้ค่ะ ถ้ารู้ว่าไม่มีเรา เป็นจิต เจตสิก รูปก็เป็นความเห็นถูก ข้อความข้างต้น ท่านอาจารย์หมายถึงขณะฟัง แล้วมีสติปัฏฐานเกิดใช่ไหมคะ
เอ่อม ท่านอาจารย์ไม่ได้ใช้คำว่า "ระลึกรู้" นะคะ ถ้าเป็นสติปัฏฐานจะต้องเป็นการระลึกรู้ที่สภาพธรรมในขณะนั้น (ที่กำลังปรากฎ) แต่ถ้าฟังแล้วรู้ว่าไม่มีเรา นั่นเป็นปัญญาที่เกิดจากการพิจารณาในสิ่งที่กำลังฟังค่ะ
ขณะที่ฟังแล้ว เข้าใจเรื่องราวของธรรมะที่ได้ฟังเข้าใจว่าไม่ได้มีความเข้าใจผิดเรื่องราวของธรรมะ แต่ยังเป็นเราที่กำลังฟัง ขณะนั้นไม่เรียกว่าโลกียปัญญา ถูกต้องไหมคะ
ถ้าเป็นความเข้าใจที่ถูกต้องก็เป็นปัญญาทั้งนั้นแหละค่ะ เพราะปัญญาจะไม่เห็นผิด เพียงแต่ว่าจะเป็นปัญญาระดับไหน แม้การให้ทาน รักษาศีลก็มีปัญญาเกิดร่วมได้ ถ้าผู้นั้นมีความเข้าใจถูกต้องจริงๆ เพียงแต่ไม่ใช่ปัญญาขั้นสติปัฏฐาน ไม่ใช่วิปัสสนาญาน ปัญญาเจตสิกทุกดวงที่ไม่ได้เกิดร่วมกับโลกุตตรจิต เป็นโลกุตรปัญญาค่ะ
ขออนุโมทนา
คุณตอบได้ละเอียดดีจังค่ะ
ขอความกรุณาต่ออีกสักนิดได้ไหมคะ จากข้อความที่คุณกล่าวว่า "ปัญญาเจตสิกทุกดวงที่ไม่ได้เกิดร่วมกับโลกุตตรจิต เป็นโลกุตรปัญญาค่ะ"
เป็นโลกุตรปัญญา ไม่ใช่ โลกียปัญญา หรือคะ แล้วเพราะอะไรจึงเป็นเช่นนั้นคะ ขออนุญาตอ้างอิงจากข้อความในกระทู้นะคะ เพราะเข้าใจว่าไม่ตรงกันค่ะ.
เพราะฉะนั้น ปัญญาระดับไหนก็ตาม ที่ไม่ประจักษ์โลกุตตรธรรม (นิพพาน) เป็นโลกียปัญญา (ปัญญาเจตสิก) และ โลกียปัญญา หมายถึง ปัญญาที่ไม่ใช่โลกุตตรปัญญา คือ ปัญญาที่เป็นไปกับโลกียจิต เช่น ความรู้เรื่องสัตว์มีกรรมเป็นของตน ความรู้นามรูปที่เกิดกับมหากุศล เป็นต้น ส่วนโลกุตตรปัญญา คือ ปัญญาที่เกิดกับโลกุตตรจิต เกิดขึ้นประหานกิเลส ตามลำดับมรรค
โดย คุณ study
ในอัฏฐสาลินี อรรถกถาธัมมสังคณีปกรณ์ จิตตุปปาทกัณฑ์ อธิบายจูฟันตรทุกะ มีข้อความว่า
ชื่อว่า “โลกียธรรม” เพราะประกอบในโลก โดยเหตุที่นับเนื่องอยู่ในโลกนั้น ชื่อว่า “อุตตรธรรม” คือ ธรรมอันยิ่งเพราะข้ามพ้นขึ้นจากโลกนั้น ชื่อว่า “โลกุตตรธรรม” เพราะข้ามขึ้นจากโลกนั้นโดยเหตุที่ไม่นับเนื่องอยู่ในโลก
จิต เจตสิก รูป เป็นสังขารธรรม เป็นสภาพธรรมที่เกิดดับ แม้โลกุตตรจิตและ เจตสิกที่มีนิพพานเป็นอารมณ์นั้นก็เกิดดับ แต่ที่จำแนกจิตเป็นโลกียจิตและโลกุตตรจิตนั้น ก็เพราะโลกุตตรจิตมีนิพพานเป็นอารมณ์โดยดับกิเลส (มัคคจิต) และโดยกิเลสดับแล้ว (ผลจิต)
โดย บ้านธัมมะ
เมื่อจำแนกจิตเป็นประเภทโลกียะ และโลกุตตระนั้น จิตใดที่ไม่ประ-จักษ์แจ้งลักษณะของนิพพาน คือ ไม่มีนิพพานเป็นอารมณ์ จิตนั้นเป็น “โลกียจิต” จิตใดมีนิพพานเป็นอารมณ์โดยดับกิเลส หรือมีนิพพานเป็นอารมณ์โดยดับกิเลสแล้ว จิตนั้นเป็น “โลกุตตรจิต”
โดย บ้านธัมมะ
ผิดถูกประการใดกรุณาแนะนำด้วยค่ะขอขอบพระคุณ และขออนุโมทนา ที่กรุณาให้คำแนะนำนะคะ
พิมพ์ผิดอะค่ะ. ต้องขออภัยด้วย
ขออนุโมทนาที่ท้วงมานะคะ มิฉะนั้นอาจจะเผยแพร่ออกไปผิดๆ บาปแย่เลย
ไม่เป็นไรค่ะ ยังไงก็ขอขอบพระคุณที่แนะนำนะคะถ้าพอจะมีเวลา กรุณามาเข้ามาร่วมสนทนาอีกนะคะ
ขอบพระคุณค่ะขออนุโมทนา.
ขอพระสัทธรรมอันงดงาม บังเกิดแต่ดอกบัว
คือพระโอษฐ์ของพระสัมพุทธเจ้า
ผู้เป็นที่พึ่งของสรรพสัตว์
ทำให้ใจของท่านทั้งหลายเบิกบาน
ที่นี่น่ารื่นรมย์
กุศลใดๆ ที่อบรม ที่เจริญ ถ้าไม่ใช่เป็นไปเพื่อการสิ้นอาสวะกิเลส ก็เป็นยังเป็นโลกียปัญญาค่ะ
ไหนๆ ได้มาตั้ง 2 ช่อง (ความคิดเห็น) ที่จริงขอช่องเดียวนะคะถือโอกาสถามว่า พระอรหันต์มีโลกียปัญญาไหมคะ สงสัยคะเพราะปฏิสนธิของท่านเป็นติเหตุ ภวังคจิตมีอโมหเจตสิก อโมหเจตสิกเป็นโลกียปัญญาไหม
อ้างอิงจาก : ความคิดเห็นที่ 15 โดย JANYAPINPARD
ไหนๆ ได้มาตั้ง 2 ช่อง (ความคิดเห็น) ที่จริงขอช่องเดียวนะคะถือโอกาสถามว่า พระอรหันต์มีโลกียปัญญาไหมคะ..สงสัยคะเพราะปฏิสนธิของท่านเป็นติเหตุ ภวังคจิตมีอโมหเจตสิก อโมหเจตสิกเป็นโลกียปัญญาไหม
พระอรหันต์ไม่ได้มีโลกุตตรจิตเกิดขึ้นตลอดเวลานะคะ นอกจากท่านที่สามารถเข้าผลสมาบัติมีนิพพานเป็นอารมณ์ จิตอื่นที่เป็นมหากุศลญาณสัมปยุตของท่านจึงเป็นโลกียปัญญาค่ะ
ขอขอบพระคุณสำหรับคำตอบนะคะ กำลังรออยู่เลยค่ะ
ขออนุโมทนา
โลกิยปัญญา
หลังจากเป็นพระอรหันต์แล้ว เป็นผู้ที่ไม่มีกิเลสใดๆ แล้ว จิตของพระอรหันต์จึงมี ๒ ชาติ คือ ชาติกิริยา กับ ชาติวิบาก เท่านั้นครับ พระอรหันต์ยังมีโลกิยจิต เช่น จิตเห็น จิตได้ยิน จิตได้กลิ่น จิตลิ้มรส เป็นต้น แต่หลังจากที่ได้เห็น หลังจากที่ได้ยิน เป็นต้น ไม่เกิดกิเลสใดๆ ทั้งสิ้น ขณะที่จิตของพระอรหันต์ที่เป็นมหากิริยา นั้นประกอบด้วยปัญญา เป็นญาณสัมปยุตต์ ก็มี ไม่ประกอบด้วยปัญญา เป็นญาณวิปปยุตต์ ก็มี หรือ แม้แต่ขณะที่เป็นภวังคจิต ก็มีปัญญาเกิดร่วมด้วย แต่ปัญญานั้นเกิดร่วมกับจิตชาติวิบาก จากความเข้าใจเบื้องต้น ปัญญาที่เกิดร่วมกับโลกิยจิตเป็นโลกิยปัญญา พระอรหันต์มีปัญญาที่เกิดร่วมกับโลกิยจิต ส่วนโลกุตตรปัญญาเป็นปัญญาที่เกิดร่วมกับโลกุตตรจิตเท่านั้น ครับ
โดย : khampan.a วันที่ : 09-12-2551
ขอบพระคุณ คุณ khampan.aและไตรสรณคมน์ ซึ่งคมเสมออนุโมทนาทุกท่านคะ