สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ ..เพียงชั่วขณะจิตเดียว
ความเป็นตาย เป็นสิ่งที่หลีกหนีไม่พ้นสำหรับผู้ที่มีความเกิดเป็นธรรมดา ทุกชีวิตล้วนมีความตายเป็นที่สุด ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่เกิดมาแล้ว จะไม่ตาย ถ้าศึกษาพระธรรม ก็จะเข้าใจว่า ความตาย คือ ขณะที่จุติจิต เกิดขึ้นทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ ความผูกพัน ความเยื่อใยที่มีกับบุคคลทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นมารดาบิดา ญาติสนิทมิตรสหายเป็นต้น ก็เป็นอันจบสิ้น เพียงชั่วขณะจิตเดียว คือ จุติจิตเกิดขึ้นเท่านั้น และ ไม่สามารถย้อนกลับมาเป็นบุคคลนี้อีกได้เลยตราบใดที่ยังมีกิเลส เมื่อตายแล้วต้องเกิดอย่างแน่นอน อีกไม่นานก็ได้เห็น ได้ยินได้กลิ่น ได้ลิ้มรส ถูกต้องกระทบสัมผัส คิดนึกอีก จิตเป็นกุศล เป็นอกุศล อีก ดำเนินไปอย่างไม่มีวันสิ้นสุด จนกว่าจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม บรรลุเป็นพระอรหันต์ ปรินิพพานแล้ว ไม่มีการเกิดอีกเลย
มีคนจำนวนมากที่คิดว่าคนตายแล้วก็เผาเป็นเถ้าถ่านหมดไป ไม่มีชาติหน้า ขณะมีชีวิตอยู่ควรหาความสุข ผมก็บอกว่าชาตินี้มี ยังมีคนเกิด แล้วคนที่เกิดมาจากไหน มันยากที่จะอธิบาย จุติจิต ปฎิสนธิจิต การเกิด-ดับสืบต่อกันของ รูป-นาม การสะสมสืบต่อของกรรมที่เป็นปัจจัยให้เกิดจิตดวงต่อไปหลังปฏิสนธิจิต หลักธรรมพื้นฐานนี้ไม่เคยได้ยินได้ฟังเลย ทั้งที่มีวัดวาอารามทั่วไป มีพิธีกรรมทางพุทธเป็นวิถีชีวิตของชาวพุทธ โรงเรียนก็อยู่ในวัด วิชาศีลธรรมก็สอนในหลักสูตรการศึกษา
แท้จริงแล้วคน สัตว์ เกิดตายไม่มี มีแต่เพียงจิต เจตสิก รูป ที่เกิดดับสืบต่อกันอยู่ตลอดเวลายาวนานในสังสารวัฎฎ์
ขออนุโมทนาค่ะ
ความเป็นตาย เป็นสิ่งทีหลีกหนีไม่พ้นสำหรับผู้ที่มีความเกิดเป็นธรรมดา ทุกชีวิตล้วนมีความตายเป็นที่สุด ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่เกิดมาแล้ว จะไม่ตาย
แท้จริงแล้วคน สัตว์ เกิดตายไม่มี มีแต่เพียงจิต เจตสิก รูป ที่เกิดดับสืบต่อกันอยู่ตลอดเวลายาวนานในสังสารวัฎฎ์
สาธุ