ยากยิ่งกว่าวิชาทางโลก
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ข้อความบางตอนจาก
แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ ๙๔๕
บรรยายโดย ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ยากยิ่งกว่าวิชาทางโลก
ผู้ถาม อาจารย์ครับ ผมก็ได้มีโอกาสศึกษาร่ำเรียนมาในวิชาทางโลกนี้มาก็หลายสาขา หลายแขนงเต็มที ผมก็รู้สึกว่า ผมพอจะเข้าใจ และเมื่อศึกษาให้ลึกซึ้งแล้ว ก็พอที่จะสอนให้คนอื่นเข้าใจได้ แต่ผมคิดว่า "วิชาพระธรรม" ในพระพุทธศาสนานั้นเป็นเรื่องยากจริงๆ สำหรับผม ผมได้ฟังอาจารย์บรรยายมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๖หรือ ๐๗ ...ซึ่งก็ ๑๐ กว่าปีมาแล้ว ผมรู้สึกว่า แม้กระทั่งเดี๋ยวนี้ ปัญญาผมเกิดน้อยเหลือเกิน จะว่าไม่เกิดเลยก็ไม่เชิง แต่ว่ารู้สึกว่า ปัญญาผมเข้าใจน้อยเต็มที เพราะว่าสังเกตดูได้ว่า วิชานี้ผมจะสอนให้คนอื่นเข้าใจ ผมสอนไม่ได้เต็มปากเต็มคำแล้วสอนไปแล้วก็ไม่มั่นใจด้วยว่า ถ้าเขาเกิดซักถามถึงแก่นขึ้นมา ผมตอบเขาไม่ได้แน่ๆ เลย ซึ่งผมก็ยอมรับว่า ผมไม่รู้จริงครับ อันนี้เป็นความรู้สึกของผม แม้แต่คำว่า “สติ” อย่างเดียวนี้ ผมก็รู้สึกว่าเรามีสติจริงหรือเปล่า ก็อยากจะเรียนถามอาจารย์ว่า คำว่า “สติ” เมื่อเกิดขึ้นแล้ว เมื่อสภาพธรรมปรากฏ เมื่อเรามีอารมณ์ปรากฏขึ้นทางทวารใดทวารหนึ่ง สติจะเกิดหรือไม่เกิด เราพิจารณาดูว่าถ้าเรามีการพิจารณา หรือการสังเกต อย่างนั้นก็ไม่ใช่สติ ผมเองก็สงสัยว่า การที่เรามีสติ มีการสังเกต มีการพิจารณา มีการสำเหนียกนี้ โดยปราศจากการเอามาคิดนึก ไตร่ตรอง อะไรอย่างนี้จะเป็นไปได้หรือเปล่า
อ. เป็นไปได้ค่ะ แต่ช้านะคะ แล้ววันหนึ่งจะรู้ได้ว่าขณะที่กำลังพิจารณา สังเกต โดยไม่ใช่คิดนึกนั้นเป็นไปได
ผู้ถาม ถ้าอย่างนั้น หมายความว่า ในการสังเกตและพิจารณานั้น เราก็มักจะเลยมาถึงการคิดนึก ใช่ไหมครับ
อ. โดยธรรมดามักจะระลึกเป็นคำก่อน ใช่ไหมคะ เพราะว่าทุกคนชินกับการคิด พอบอกว่า"ระลึกได้"หมายความว่า กำลังคิดอย่างใดอย่างหนึ่งออก เพราะฉะนั้น ขณะที่กำลังระลึกรู้ โดยมากก็จะมีการคิดถึงคำ ซึ่งเป็นเรื่องของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏก่อน ถูกไหมคะ อย่างเช่น ทางตาที่กำลังเห็นนี้ ปกติก็หลงลืมสติ แต่ว่าเพราะได้ยินได้ฟังว่า สิ่งที่ปรากฏทางตา กำลังปรากฏแล้วในขณะนี้ ไม่ใช่ว่ายังไม่ได้ปรากฏ กำลังปรากฏอยู่ แต่ว่าเป็นเพียงสภาพธรรม ที่สามารถปรากฏเฉพาะทางตาเท่านั้น นี่คือลักษณะที่แท้จริงของสิ่งที่ปรากฏทางตา การได้ยินได้ฟังบ่อยๆ ทำให้เกิดการนึกถึงคำว่า "ขณะนี้สิ่งที่กำลังปรากฏ" แม้ว่าจะกำลังเห็น ก็อดที่จะเกิดนึกขึ้นมาไม่ได้ว่า "เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา" เพราะไม่มีใครสามารถที่จะยับยั้งความคิดได้ แต่เพราะรู้ว่าในขณะที่คิด เป็นขณะที่จิตกำลังรู้คำ ไม่ใช่เป็นการสังเกต สำเหนียกจริงๆ ในลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ แล้วก็รู้ว่า ไม่ใช่ในขณะที่กำลังนึกถึงรูปร่างสัณฐาน ด้วยความรู้สึกว่า เป็นสัตว์ บุคคล เป็นวัตถุสิ่งของ
ต้องแยกนะคะ กับการที่เคยเข้าใจว่าเห็นคนเห็นวัตถุสิ่งของ เป็นการเพิ่มการนึกถึง การระลึกได้ว่า เป็นเพียงสิ่งที่สามารถปรากฏทางตาจริงๆ ลักษณะนี้จริงไหมคะ สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาเป็นเพียงสภาพธรรมที่กำลังปรากฏแล้ว และเป็นสิ่งที่สามารถปรากฏทางตาเท่านั้นจริงๆ แต่ช่างหลงลืมบ่อยๆ มักจะต้องเป็นคน เป็นวัตถุ เป็นสิ่งต่างๆ นี่แสดงให้เห็นแล้วว่า สติปัฏฐานยังไม่มั่นคงยังไม่เป็นพละ เพราะปัญญายังไม่ได้รู้จริงๆ เพียงแต่ "สติ" จะเริ่มระลึกรู้ในสภาพธรรม ที่ปรากฏทางตา วันละนิดวันละหน่อย หรือว่า หลายวัน หลายอาทิตย์ หลายเดือนก็ได้ แล้วแต่ แต่ว่า "ไม่ขาดการฟัง" เพราะรู้ว่าสภาพธรรมทั้งหลายนี้ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เพียงได้ยินได้ฟังครั้งเดียว แต่ว่าได้ยินได้ฟังเรื่องของสมมติบัญญัตินี้ มากมายก่ายกอง เพราะฉะนั้น จิตย่อมจะคิดนึกถึงเรื่องราวต่างๆ มากกว่าที่จะระลึกได้ แล้วก็พิจารณาลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงว่าเป็นเพียงสิ่งที่สามารถจะปรากฏทางตาเท่านั้น
ผู้ถาม รู้สึกว่า จะไม่พ้นไปจากการนึกคิด
อ. ก็ต้องทราบค่ะ ว่า ในขณะที่คิด ไม่ใช่ขณะที่กำลังน้อมไปที่จะรู้จริงๆ เพราะฉะนั้น การอบรมเจริญสติปัฏฐานจึงต้องอบรมเจริญนานเป็นกัปๆ แล้วกัปหนึ่ง ก็อย่างที่ได้เรียนให้ทราบแล้วว่า ไม่สามารถที่จะนับเป็น๑๐๐ ปี ... ๑,๐๐๐ ปี ... แสนปีได้ บางท่านที่อยากจะรู้แจ้งสภาพธรรมเสียเร็วๆ ก็ไม่ทราบท่านจะเอากิเลสทั้งหมดที่สะสมมาไปทิ้งที่ไหน มีอยู่กับจิต ติดอยู่ในจิต สะสมอยู่ในจิตทุกๆ ขณะ เมื่อเห็นแล้วก็หลงลืม เป็นอกุศล ดับไปเป็นปัจจัยให้อกุศลจิตดวงต่อไปเกิดขึ้น ความไม่รู้ก็ยังคงมีสะสมอยู่ ถ้ามีความพอใจ ยินดีในสิ่งที่ปรากฏ ก็ไม่มีใครสามารถไปหยิบไปจับความยินดีพอใจนั้นโยนทิ้งไป เพราะไม่ใช่วัตถุ เป็นสภาพธรรมที่เกิดกับจิต เป็นนามธรรม และลักษณะของนามธรรมก็ไม่สามารถที่จะไปแสวงหา ไปค้นคว้าได้จากที่อื่น นอกจากในขณะที่กำลังเห็น กำลังได้ยิน เป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ ที่จะต้องฟังแล้วฟังอีกแล้วเห็นคุณประโยชน์จริงๆ ว่า ถ้าตราบใดที่ยังไม่สามารถที่สติจะเกิดขึ้น ระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมว่า ต่างกับลักษณะของรูปธรรมที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจแล้ว ไม่มีหนทางอื่นเลย ที่ปัญญาจะอบรมเจริญขึ้นจนกระทั่งสามารถที่จะดับกิเลสได้ เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องที่จะต้องฟัง อบรมความเข้าใจ เพื่อที่จะเป็นปัจจัยให้สติปัฏฐานและปัญญาเกิดขึ้น
(ธัมเมกขสถูป สถานที่ทรงแสดงธัมมจักกัปปวัตนสูตร)
ขอเชิญคลิกอ่านข้อความจากพระไตรปิฎก ได้ที่นี่ครับ ...
การแทงตลอดตามความเป็นจริงยาก [วาลสูตร]
ขออุทิศส่วนกุศลแด่สรรพสัตว์